ทัวร์4เกาะ Sunset กระบี่
โปรแกรม ทัวร์4เกาะ ปกติทั่วๆไปส่วนมากจะขึ้นเรือตอน 9.00 น. และกลับถึงฝั่งตอน15.00 น.
แต่สำหรับ ทัวร์4เกาะ Sunset จะเริ่มขึ้นเรือตอน 14.00 น. และกลับถึงฝั่งตอน 20.00 น.
ถ้ายังไม่รู้จะไปทัวร์เกาะอะไรดีอ่านที่นี่
ทัวร์นี้เป็นทัวร์ที่จองมาจากเวป laysuay ในราคา 850 บาทต่อคน
ชำระครึ่งนึงก่อน แล้วชำระอีกทีตอนมาถึง
ส่วนรถที่มารับพวกเราไปขึ้นเรือ เป็นรถคล้ายๆ ตุ๊กตุ๊ก หรือรถสองแถวคันจิ๋วๆ
นั่งกันได้ประมาณ 8-10 คน ยืนไม่ได้
เขาจะขับไปรับลูกทัวร์คนอื่นๆตามโรงแรมต่างๆ
ใช้เวลาทั้งไปรับลูกทัวร์คนอื่นอีก กับไปท่าเรือประมาณ 20 นาที
กว่าจะลงทะเบียน เซ็นยินยอมหากสน็อคเกิ้ลหาย
ก็จะโดนปรับโดยถ้าหายทั้งอันเลยคิด 700 บ. ถ้าหายบางส่วนคิด 300 บ.
แต่เราไม่ได้เป็นคนเซ็น ไม่ได้อ่าน ไม่รู้เรื่อง สามีทำให้หมด
เราก็คอยดูแลเทคแคร์แม่ไป (จะเกิดอะไรขึ้นค่อยเล่าอีกที)
กว่าจะได้ขึ้นเรือก็ประมาณเกือบบ่าย 2โมงแล้ว
เรือที่นั่งเห็นติดชื่อข้างเรือว่า “มาเรียมทัวร์” ไกด์เป็นผู้หญิง
ดูแลเทคแคร์ดีมาก อาจเห็นมีผู้สูงอายุด้วยมั้ง
เรือที่พวกเราใช้บริการนี้ เป็นเรือหางยาว มีผู้โดยสารได้แก่
ลูกทัวร์ ไกด์ กัปตันเรือ และผู้ช่วยแล้ว รวมประมาณ 20 คน
มี 4 คนที่เป็นคนไทย คือพวกเรา 3 คน กับสาวสวย ที่มากับแฟนชาวสิงคโปร์อีกคนหนึ่ง
และมีอีกสองคนที่เป็นชาวมุสลิม นอกนั้นเป็นฝรั่งผมทองกันทั้งนั้น
ไปกระบี่เหมือนไปต่างประเทศยังไงไม่รู้ เจอแต่ฝรั่ง
ไม่ค่อยเห็นคนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยวเลย มีแต่พ่อค้าแม่ค้า
ก็แต่ละอย่างมันแพงซะขนาดนั้นนี่นะ ทั้งอาหารจานนึงก็เป็นร้อยแล้ว
ค่าเรือ ค่ารถ ล้วนเป็นราคาขายฝรั่งทั้งนั้น
เฮ้อ…พูดไปเดี๋ยวหาว่าบ่น ไปเที่ยวต่อดีกว่า
จริงๆแล้วก่อนไป ก็ศึกษาแผนที่เกาะต่างๆมาดีแล้วนะ
แต่พอไปจริงจำไม่ได้เลยว่าเกาะไหนชื่ออะไร อยู่ตรงไหน
รู้แต่ว่ามันอยู่ติดๆกันหมด
ตอนจะไปขึ้นเรือ ทางทัวร์บอกให้นั่งรอก่อน
เดี๋ยวเอารถมารับให้ เห็นมีแม่สูงอายุด้วยกลัวเดินไม่ไหว
เราก็คิดในใจว่า คงไกลล่ะมั๊ง แต่กว่ารถจะมารับก็รอนาน
จนคนอื่นเขาขึ้นเรือกันไปหมดแล้ว รู้สึกเกรงใจยังไงไม่รู้
พอนั่งไปก็เจอคนยืนออกันเต็มไปหมด มีรถขายของจอดขวางอีก
เราก็เลยขอลงตรงนั้น แล้วเดินต่อกันไปเอง
โถ่ เอ๊ย…ใกล้แค่นี้เอง แม่เราเดินได้อยู่แล้ว จะเอารถมารับให้เสียเวลาทำไม
ส่วนตอนที่กังวลที่สุดคือ ตอนก้าวขึ้นเรือ เพราะเรือมันไม่ได้จอดเทียบท่าให้แบบขึ้นง่ายๆ
ไม่ได้มีสะพานพาดกับตัวเรือ แต่เราต้องก้าวขึ้นเรือทางหัวเรือแทน
ขนาดเราเองยังเสียวแว๊บ แล้วแม่ล่ะจะทำยังไง จะอุ้มขึ้นไปคงไม่ได้
มัวแต่ยืนคิดอยู่ เห็นแม่ก้าวฉับๆขึ้นเรือไปได้สบายเลย
พอดีมีคนคอยให้เกาะ คอยดูแลให้เลยหมดห่วง ทัวร์นี้ดีจริงๆ
หลังจากเรือออกจากท่า ไกด์สาวร่างย่อมเยาว์ ผิวคล้ำตามระเบียบ
ได้กล่าวต้อนรับ และแนะนำในการอยู่บนเรือ เพื่อความปลอดภัย
ก็ต้องรักษาสมดุลตัวเรือให้ดี ใครยืนอยู่ฝั่งไหนถ้าอยากจะเปลี่ยฝั่งกระทันหัน
ก็ให้บอกเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มาบาลานซ์อีกฝั่ง ไม่ให้เรือเอียง
อธิบายอะไรๆอีกเยอะแยะ
(เป็นภาษาอังกฤษสิ ฝรั่งหัวทองนั่งตาแป๋วอยู่ตั้งค่อนเรือ ไม่แปลไทยด้วยนะ)
แม่เราถามว่า ได้เรียนภาษาอังกฤษมาหรอ พูดเก่งจัง
ไกด์ตอบว่าหนูจบ ป.4 เอง แต่ฟังๆเขามา พูดบ่อยๆก็ชินเอง
แม้ไม่ได้ใช้ศัพท์หรูหรา แต่ฟังรู้เรื่องเข้าใจ ก็ถือว่าสุดยอดจนเราอายแล้ว
ทัวร์นี้รักษาความปลอดภัยได้ดีพอสมควร เมื่อเทียบกับทัวร์ของพรุ่งนี้ (ไว้ค่อยเล่า)
เพราะขึ้นเรือปุ๊บเขาก็ให้เราใส่เสื้อชูชีพทันที สภาพก็ไม่ได้ใหม่หรอก
แต่สมบูรณ์ไม่ขาด ที่ติดไม่หลุด ทุกคนจะต้องใส่เสื้อชูชีพ
แม้แต่ไกด์ยังใส่เลย (แต่ผู้ชายที่เป็นผู้ช่วย กับ กัปตันไม่เห็นใส่นะ)
หลังจากขึ้นเรือ พวกเราก็ไม่ได้รู้เวลาของโลกภายนอกกันแล้ว
ดื่มด่ำกับน้ำทะเลสีเขียวของฝั่งอันดามัน ท้องฟ้าใสๆสีฟ้า
และภูเขาที่ดูแปลกแตกต่างจากฝากอ่าวไทยมาก
ทีแรกคิดไว้ว่าแค่มานั่งเรือกินลมชมวิวเฉยๆ
ไม่อยากลงน้ำเพราะอยากนั่งเป็นเพื่อนแม่ กลัวตกเรือ
ส่วนสามีไม่ชอบดำน้ำ โดนน้ำด้วยซ้ำ
สำหรับแม่ไม่ต้องพูดถึง แค่ได้มาเห็นทะเลก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว
กิจกรรมแรก :
ว่ายน้ำไปที่ซอกเขา เดินผ่านซอกเขา (สวยมาก) แล้วว่ายต่ออีกนิดไปที่ชายหาด เดินเล่นชายหาด (ทั้งหมดให้เวลาประมาณ 45 นาที)
แต่หลังจากเรือแล่นออกจากอ่าวนางมาได้นานพอสมควร ก็ถึงจุดกิจกรรมแรก
ไกด์ก็อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ฟังออกนะ แต่ไม่เข้าใจว่า
ไอ้ที่บอกว่าดำน้ำมุดใต้ถ้ำ(จริงๆเป็นซอกเขามากกว่านะ แต่เขาใช้คำว่า cave …เออถ้ำก็ถ้ำ)
ไปโผล่ที่ชายหาด แล้วจะไปเจอเรือได้ที่ชายหาด
แล้วเดินมาบอกเราว่าเดี๋ยวน้องอยู่บนเรือนะ เดี๋ยวให้พวกเขาลงไปดำน้ำกัน
เรา : อ๊ะ…อะไรอ่ะ ทำไมลงไม่ได้ล่ะ
ไกด์ : แล้วใครจะดูแลแม่ล่ะจ๊ะ
เรา : เออ…จริงด้วย แต่เสียงในใจก็บอกว่า แม่ก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว แค่นั่งอยู่บนเรือเอง เดี๋ยวให้สามีอยู่เป็นเพื่อนแม่ให้ดีกว่า ยังไงเขาก็ไม่ลงอยู่แล้ว
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น ว่าจะลงหรือไม่ลงดี ก็เห็นฝรั่งต่างคนต่างถอดเครื่องนุ่งห่ม
ถอดเสื้อชูชีพเหลือแต่บิกินี่ กระโดดตูมๆ
ไอ้เราก็เริ่มใจแป้ว แล้วว่าต้องว่ายไปถึงไหนเนี่ย
ก็เลยไปถามไกด์ให้แน่ใจอีกทีว่าว่ายไปไหน ไกลมั้ย ลึกมั้ย
ไกด์ตอบอย่างใจดี (ในใจอาจรำคาญ) ว่า
“ถ้าว่ายน้ำเป็น ก็ไปได้ รอดใต้ถ้ำไปตรงโน้นแน่ะ”
เราก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว เพราะว่ายน้ำพอได้ แต่ไม่แข็ง
ถึงจะมีเสื้อชูชีพ ยังไงมันก็ไม่จมใช่มั้ยล่ะ กระดึ๊บๆไป เดี๋ยวก็ถึง
แต่กลัวตรงที่เขาบอกว่า ลอดใต้ถ้ำไปนี่แหละ
ให้ว่ายน้ำลอดใต้ถ้ำเลยหรอ กลัวความมืด กลัวที่แคบด้วยสิ
ระหว่างที่ความคิด กลัวๆ กล้าๆ ตีกันอยู่นั้น
ก็เห็นสาวคนไทยมาชวนไปด้วยกัน เราก็เริ่มฮึกเหิมเลย มีเพื่อนแล้ว
หนุ่มผู้ช่วยไกด์ตัวดำปี๋ แซวสองสาวไทย กระโดดเลยพี่
ไอ้เราก็ได้แตะน้ำทะเลครั้งสุดท้ายเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
แค่เห็นน้ำลึกๆหัวใจก็จะวายแล้ว ปีนลงบันไดดีกว่า
กลัว… เสียงแซวดังมาอีก “โธ่ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่กล้าเองอะดิ”
เออ…ใช่…ถูก…ยอมรับ…ก็บอกว่ากลัวไง
พอทั้งตัวได้จุ่มน้ำ นึกว่าจะหนาว เพราะเป็นหน้าหนาว แต่น้ำกลับอุ่นๆ
คิดไปเรื่อยว่า จะมีอะไรมาดึงขาเราจมทะเลป่าวว้า
ลอยคอเท้งเต้ง จัดแจงหน้ากากกับสน็อคเกิ้ล ให้เข้าที่
ดีนะที่เคยใช้มาตอนทริปเสม็ดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ไม่งั้นต้องแบกหน้าไปถามไกด์ให้อายอีก
แต่ด้วยเหตุที่ว่า ยังไม่ได้ลองซ้อมมาจากบนเรือ
เลยบิดสน็อคเกิ้ลอีท่าไหนไม่รู้ หลุดลงก้นทะเลไปเลย
เฮ้ย…เสียงอุทานจนเพื่อนใหม่ข้างๆตกใจ “สน็อคเกิ้ลหลุดอ่ะ”
เพื่อนใหม่ให้กำลังใจว่า “โดนปรับ 700 บาทดิ”
เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ต้องรีบตามกลุ่มให้ทัน ก่อนจะโดนทิ้งไว้กลางทะเล
ทีแรกก็แรงดี พอไปได้ครึ่งทางเริ่มหอบ นี่ขนาดมีเสื้อชูชีพนะ
ถ้าไม่มีนี่หมดแรงจมไปแล้วมั๊ง เพื่อนใหม่ข้างก็กระดึ๊บตามมาไม่ห่างกัน
ฉากตอนนี้ไม่มีใครอยู่ระแวกนั้นเลย กลุ่มฝรั่งกับไกด์ ว่ายกันไปใต้ถ้ำกันหมดแล้ว
เห็นแต่ไกด์โบกไม้โบกมือ แสดงตำแหน่งให้ว่ายมาทางนี้เท่านั้น
เห็นเหมือนจะใกล้นะ แต่ว่ายจริงๆมันเหนื่อยเอาเรื่องเลย พอไปถึงถ้ำ(ซอกเขา)
ก็นึกว่าในถ้ำมีทะเล แต่จริงๆแล้ว มีหิน มีทราย เดินลอดใต้ถ้า
ปีนป่ายก้อนหิน สนุกดี ที่สำคัญพอมองขึ้นไปข้างบน มันเป็นภาพที่สวยมาก
อยากนอน อยากนั่งเล่นอยู่ตรงนั้นนานๆ แต่กลัวจะตามเขาไปไม่ทัน
ระหว่างพจญภัยปีนป่ายอยู่ตรงนั้น (ไม่มีรูปนะ กล้องไม่กันน้ำ แต่สวยมากๆ)
ทั้งหิน ทั้งหอย ประเดิมบาดเท้า บาดหัวเข่าให้เป็นที่ระลึกตั้งแต่แรกกันเลย
พอถึงปากทางออกถ้ำ
(ไม่ยาวหรอก ประมาณ 50 เมตร เป็นซอกเขาแคบๆ มองเห็นท้องฟ้า กับต้นไม้ข้างบนได้)
ก็ต้องว่ายน้ำขึ้นฝั่งอีกนิดนึง
เห็นมีกองถ่ายหนังของอินเดีย เปิดเพลงดังทั้งหาด
พอเราว่ายไปโดดๆคนเดียว เขาก็ปิดเพลง
แล้วเหมือนจะรอให้เราว่ายผ่านไปก่อนค่อยถ่ายต่อ
แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ แล้วก็ไม่สนด้วย ก็จะเล่นน้ำอ่ะ ไม่ไปมีไรป่าว
ว่ายกลับไปกลับมา ไม่ยอมขึ้นฝั่งซักที
หลังจากนั้น ไกด์ก็พากลุ่มฝรั่งที่นำมาก่อนนานแล้ว
แต่กำลังสนุกสนานกับถ้ำ และทะเลบริเวณนั้นอยู่
เราจึงต้องว่ายตามกระแสไปด้วย เพราะมีเวลากับที่นี่ไม่ได้นานนัก
ว้าา…ต้องขึ้นแล้วหรอ ติดใจซะแล้วสิ
แต่พอคิดถึงเรื่องสน็อคเกิ้ลหาย ก็เลยเริ่มจะหดหู่ขึ้นมาทันที
พอขึ้นเรือมาเจอกับสามี แล้วบอกว่าทำสน็อคเกิ้ลหาย
เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไรก็แค่เสีย 700 บาท เราก็ตกใจ
นี่เรื่องจริงหรอเนี่ย นึกว่าพูดเล่นซะอีก ทำไงดีล่ะ
สามีก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้าหายครึ่งนึงก็คงจะ 300 บาทน่ะแหล่ะ
(ยังไงก็ต้องเสียสินะ)
บทเรียนแรก สอนให้รู้ว่า…
ซ้อมใส่สน็อคเกิ้ลก่อนลงน้ำ
บทเรียนที่สอง
อย่าอายที่จะใส่ทูพีซ เพราะเรือทั้งลำบอกได้เลยว่า เรานี่แหละหุ่นดีที่สุดแล้ว เพราะถ้ามัวแต่อาย ก็จะต้องทนเปียกไปตลอดทริป แต่ถ้าใส่ชุดทูพีซ ก็ใช้ผ้าเช็ดตัวซับๆแป๊บเดียว แล้วก็ใส่เสื้อกับกางเกงแห้งๆทับไป ก็จะสบายตัวกว่าเยอะ
บทเรียนที่สาม
เตรียมกระเป๋ากันน้ำไปจะดีกว่า เพราะถึงไม่ลงน้ำ คนอื่นขึ้นมาเปียกๆ กระเป๋าเราก็มีสิทธิ์เปียกได้
เรื่องเมาเรือ เรือกระโดด
ก่อนจะจองเรือหางยาว ก็กังวลว่าแม่จะเมาเรือมั้ย
เรือจะแล่นเร็ว กระโดดตามคลื่นมั้ย
ปรากฏว่านั่งสบายกว่านั่งรถเมล์อีก จนกล้าซ่าออกไปนั่งข้างนอกตรงหัวเรือเลยทีเดียว
ไอ้เราก็กลัวจะตกทะเล แต่เห็นไกด์เอามือเกี่ยวเสื้อชูชีพของแม่ไว้ตลอด เลยสบายใจ
สรุปแล้วนั่งเรือหางยาว ไม่เมา ไม่กระโดด
(ถ้าคลื่นสงบ แล้วก็แล้วแต่เรือของแต่ละทัวร์ด้วย)
กิจกรรมที่2 :
ไปจุดดำน้ำอีกจุด (ให้เวลาดำน้ำประมาณ 20 นาที)
เมื่อมาถึงจุดดำน้ำอีกจุดหนึ่ง เห็นหน้าสามีแดงๆ ดูซึมๆ
จับหน้าปุ๊บ โอ้โห…ตัวร้อนจี๋เลย อะไรกัน อยู่บ้านตั้งนาน ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยป่วยอะไร
ออกทะเลวันครึ่งวัน จับไข้ซะแล้ว
แต่อย่าหาว่าไม่เป็นห่วงเลยนะ ต้องรีบลงไปดำน้ำแล้ว
เดี๋ยวเวลาหมด แล้วก็คิดในใจว่า ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้สน็อคเกิ้ลของสามีแทน
คราวนี้จะจับให้มั่นไม่ปล่อยเลย
น้ำทะเลฝั่งอันดามันนี้แปลกตากว่าที่เคยไปเสม็ด
เพราะที่กระบี่นี้ น้ำทะเลเป็นสีเขียว ใสๆ
แต่ที่เสม็ดเป็นสีออกฟ้าๆ ขุ่นๆ
แล้วเรื่องการให้อาหารปลา ที่นี่จะห้ามให้ไกด์เอาขนมปัง
หรืออาหารมาล่อปลาให้นักท่องเที่ยวชม
แต่ที่เสม็ดจะเตรียมอาหารกันมาโยนๆให้ปลามาตอดกิน
นักท่องเที่ยวจะได้ดูปลาได้ชัดๆ
เรื่องดูปลา ก็สวยดีนะ น่ารักดี แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่อยู่ เลยกลัวๆ
ไม่กล้ามองข้างล่างมาก เพราะมันน่ากลัวจริงๆ ดูสิ…หอยเม่นแหลมๆ
ถ้าเผลอเหยียบไปจะทำยังไง ปะการังขาวๆดำๆรูปร่างอย่างกับสมอง
ใต้ทะเลอึมครึม ไม่เห็นเหมือนในสารคดีที่สว่างๆ
ปลามีสีส้ม สีเหลือง สีเยอะแยะ แบบในการ์ตูน
ก็เลยหนักไปทางฝึกใช้สน็อคเกิ้ลซะมากกว่า
อ้อ…พูด ถึงเรื่องใช้สน็อคเกิ้ลนิดนึง มันเป็นความรู้สึกที่น่าสยองอ่ะ
เวลาหายใจทางปาก แล้วมีเสียงฟืดฟาดๆ
เหมือนคนป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ เสียงมันก็ดังอยู่ในหัว
ตาก็เห็นใต้ทะเล บรรยากาศมันอย่างกับในหนังสยองขวัญ
กิจกรรมที่3 :
ปีนหน้าผาเตี้ยๆ (ประมาณ 20 นาที)
จุดต่อไปเป็นจุดปีนหน้าผา มีบันไดเชือกห้อยไว้ที่หน้าผา
ต้องว่ายน้ำแล้วปีนขึ้นไป แล้วก็ไต่หน้าผา
ไปไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความกล้า(บ้า) ของแต่ละคน
จากนั้นก็ กระโดดลงมา เห็นฝรั่งกระโดดจากเรือ
รีบว่ายแย่งกันไป ดูเหมือนรอกิจกรรมนี้มานาน
ส่วนเราน่ะหรอ ไม่ต้องพูดถึง กระโดดจากเรือยังไม่กล้ากระโดด
นี่มันหน้าผานะ ดูไม่สูง หากจากผิวน้ำทะเลแค่ ไม่ถึง 5 เมตร
แต่มันกลัวอ่ะ แต่พอเห็นเพื่อนคนไทยอยากลองไปเล่นดู
(เก่งจริงๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมาทัวร์เรือแบบนี้เลย)
แฟนชาวสิงคโปร์ที่มาด้วยกันก็หน้ามุ่ย
เพราะความเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปเล่น
พอเราเห็นเขาไปเราเลยฮึกเหิมขึ้นมาอีก เอามั่ง ลองดู
แต่พอว่ายไปจะต่อคิว เงยหน้าขึ้นไปแล้ว ใจฝ่อเลยว่ายกลับเรือดีกว่า
ตอนนี้ก็มานึกเสียดายว่าน่าจะลองดู แต่ความทรงจำตอนมัธยม ที่ครูให้กระโดดน้ำ
แล้วเราดันเอาท้องลง แทนที่จะเอาหัว หรือขาลง
ผลก็คือเจ็บท้องมาก เหมือนท้องกระแทกหิน ว่ายขึ้นมาตัวงอ เจ็บไปนานเลย
ตั้งแต่นั้นเลยเข็ดขยาดกับการกระโดดน้ำไปเลย
กิจกรรมที่4 :
ไปจุดดำน้ำใกล้ๆเกาะไก่ (ให้เวลาดำน้ำเล่นประมาณ 15 นาที)
ตั้งแต่ขึ้นเรือมาไม่ได้รู้เวลากันเลย แต่รู้สึกได้ว่าเย็นมากแล้ว
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยแล้ว จนมาถึงเกาะไก่ ที่จำได้เพราะเป็นจุดที่จำง่ายที่สุด
จะไม่ให้ลืมได้ยังไง ก็เกาะอาร๊าย มีหัวเหมือนไก่เป๊ะเลย
ไกด์ก็พากษ์ใหญ่เลย This is KFC Island ฝรั่งก็งงกันใหญ่
พอบอกว่า Chicken Island ฝรั่งขำใหญ่เลย ว้าว…ว้าว ถ่ายรูปกันใหญ่
มีชาวตุรกีรูปหล่อคนนึง ที่นั่งคุยกับแม่เราอยู่ บอกว่าเหมือน Camel มากกว่า
แม่เลยสวมวิญญาณไกด์บอกไปว่า ก็เมืองไทยไม่มีอูฐนี่นา
คนไทยเราคุ้นเคยกับไก่มากกว่า เขาก็เลยร้องอ๋อ
จากนั้นไกด์ให้เวลาลงดำน้ำใกล้เกาะไก่ ไม่มากแค่ 15 นาทีเท่านั้น
เกาะไก่นี้แหล่ะ ที่สามารถเป็นจุดเชื่อม สามารถเดินไปยังเกาะทับ และเกาะหม้อได้
ที่เรารู้จักกันในชื่อ “ทะเลแหวก”
แต่…น่าเสียดายที่ตอนนั้น ไม่ใช่ช่วงแหวกซะแล้ว ไม่เป็นไร โอกาสหน้าจะมาใหม่ให้ได้
ปรากฏการณ์ทะเลแหวก
จริงๆแล้วทะเลไม่ได้แหวก แต่ด้วยเหตุที่ว่ากระแสน้ำสองฝั่ง
พัดทรายมาชนกันจนเกิดเป็นสันทราย
เมื่อน้ำขึ้นก็จะไม่เห็นปรากฏการณ์ทะเลแหวกนี้
แต่เมื่อน้ำลงก็จะเห็น และสามารถเดินไปมาได้ระหว่าง เกาะไก่ เกาะทับ เกาะหม้อ
น้ำจะลง ทะเลจะแหวกตอนไหน
ก็คือ แหวกทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ แต่เค้าไม่ได้แหวกตลอดทั้งวันทั้งคืนนะ
เค้าจะมีเวลาทำงานวันละ 2 รอบคือ…
ประมาณ กลางวัน กับ กลางคืน และช่วงที่เขาเรียกว่าช่วงน้ำใหญ่
คือน้ำขึ้น และลงมากที่สุดคือ…
ช่วง วันขึ้น 15 ค่ำ ถึง แรม 5 ค่ำ(6วัน) และแรม 15 ค่ำ ถึงขึ้น 5 ค่ำ (6วัน)
สรุป จะไปดูทะเลแหวกต้องทำยังไง
ถ้าอยากเห็นทะเลแหวกก็ต้องมา ทัวร์ร4เกาะ รอบเช้า
แล้วถ้าอยากเห็นแบบลึกๆสุดใจ ก็ต้องดูข้างขึ้นข้างแรมกันก่อน (ดูยังไง ก็ดูปฏิทินดิ)
ซึ่งในแต่ละวัน น้ำลงก็จะเวลาไม่ตรงกันด้วย แต่มันไม่ใช่หน้าที่เราว่าจะแหวกกี่โมง
เพราะคนขับเรือเขาจะรู้กันดี พาเราไปให้ตรงเวลาทะเลแหวกเอง
ถ้าเอาให้แน่ ก็ถามเขาให้ชัวร์ก็ได้
แต่ที่แน่ๆ ต้องมาทัวร์กลางวัน ถ้ามาทัวร์รอบบ่าย sunset แบบเรา ไม่มีแน่นอน
(ยกเว้นจะมีทัวร์รอบมิดไนท์)
กิจกรรมที่5 :
เดินชายหาดที่เกาะทับ (ประมาณ 30 นาที)
จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่เกาะทับใกล้ๆ ที่เป็นจุดชมทะเลแหวก (แต่…เย็นแล้วไม่แหวกแล้ว)
บรรยากาศภายในเกาะทับ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เดินนิดเดียวก็สุดทางแล้ว
คนก็พอประมาณ อากาศเริ่มเย็นลง พระอาทิตย์เริ่มติดภูเขาแล้ว ไกด์ให้เวลากับที่นี่ไม่มากนัก
กิจกรรมที่6 :
สิ้นสุดที่เกาะปอดะ ทานมื้อเย็น ดูการแสดงเล่นกับไฟ และกลับขึ้นเรือประมาณ 1 ทุ่ม
ทัวร์ของพวกเรามาสิ้นสุดกันที่เกาะปอดะ เพื่อรอทานอาหาร มื้อเย็น
ระหว่างรอ ก็เดินเล่นภายในเกาะ จะเล่นน้ำ ถ่ายรูป นอน(ไม่มีแดดให้อาบแล้วนะ) ก็ตามสบาย
วิวที่นี่สวยมาก ยิ่งเป็นวิวช่วงพระอาทิตย์ตกด้วย มันโรแมนติดสุดๆ
เสียดายที่เป็นคนถ่ายรูปไม่เป็น ภาพในรูปที่ได้ กับตาที่เห็นมันห่างกันมาก
เมื่อไลน์อาหารมาตั้ง พวกเราไม่ได้พิศวาสอาหารจากทัวร์เท่าไหร่
เพราะเข็ดกับตอนไปเสม็ด ที่อาหารเหมือนให้กรรมกรกิน
บาร์บีคิวก็เหนียวจนกัดไม่เข้า สัปปะรดก็เปรี้ยวจนแสบลิ้น
ข้าวพัดก็มีแต่ข้าว ไม่มีเนื้อสัตว์เลย เราก็นึกว่าอาหารจะเป็นประมาณนั้น
เลยเตรียมขนมปัง ปลาทุบ มะเขือเทศ ส้ม ไปกินเอง
เผื่อแม่กินอาหารของทัวร์ไม่ได้ด้วย
แต่พอลองตักกับข้าว กับบาร์บีคิวมาลองกินไม้นึง
ต้องรีบวิ่งกลับไปเอาเพิ่มแทบไม่ทัน เพราะเขาปิ้งกันสดตรงนั้น
มันอร่อย นุ่ม ขนาดแม่ยังเคี้ยวได้เลย ข้าวกับกับข้าวก็อร่อยใช้ได้เลย
กินบาร์บีคิวไปหลายไม้ ติดใจจะไปเอาเพิ่ม ปรากฏว่าหมดซะแล้ว
บอกเลยว่า ทัวร์กระบี่ 4เกาะ ของมาเรียมทัวร์ อาหารไม่น่าเกลียดแน่นอน
แต่ไม่ได้ถึงขั้นหรูหราเหมือนทัวร์คนจีนข้างๆ เห็นมีปลาเผากันคนละตัวเลย
มีหม้อแบบมีฝาครอบเหมือนในโรงแรมซะด้วย
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ตอนนี้มืดตึ้ดตื๋อแล้วด้วย
เสียงเพลงกระหึ่มแบบวัยรุ่น ไม่ได้ทำให้คุณแม่ตกใจ หรือรำคาญ
ส่วนเราก็เดินสำรวจห้องน้ำกัน ไม่ได้จะเข้าหรอก
แค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงพอรับได้มั้ย จะได้ชวนแม่มาเข้า
แต่พอเห็นทางเข้าห้องน้ำเท่านั้นแหละ รู้เลยว่าไม่โอเค
แต่ก็ขอพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน เลยชะโงกหน้าไปที่ห้องน้ำหญิง
โอ้โหว…(เซ็นเซอร์)…ทุกห้อง ไม่น่ามองเลย ติดตาเลยเนี่ยะ
ไม่รู้ว่ามีตุ๊กแกป่าว แต่ไม่ได้ยินเสียงเลย
เดินกลับมาเห็นกองไฟ มีคนชุมนุมรอบกองไฟ เสียงเพลงคึกคักเชียว
เข้าไปใกล้ๆเห็นผู้ชายดำๆผอมๆ กับผู้หญิงโชว์เล่นกับไฟ พ่นไฟ
อ้าว…ไกด์ของเราเองหรอเนี่ย ผู้ชายคนอื่นๆก็อาจเป็นไกด์ของทัวร์อื่นๆด้วย
เป็นโชว์ที่ดึงดูดความสนใจได้มากเลย มีนักท่องเที่ยวบางคนขอลองเล่นดูบ้างก็ได้
การแสดงใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลากลับไปที่เรือใครเรือมัน
พอดับไฟหมด ทั่วทั้งเกาะมืดสนิท น่ากลัวชะมัด
แถมไม่รู้ว่าเรือจอดตรงไหนอีก ดีนะที่สามีจำพิกัดไว้ได้
คิดว่าวันนี้คงหมดกิจกรรมแต่เพียงแค่นี้ มุ่งหน้าสู่ท่าเรือ
กลับโรงแรม อยากนอนเต็มที่แล้ว
แต่พอเรือแล่นออกไปไม่ไกลนัก ก็จอด แล้วบอกให้ลง
ไปดำดูแพลงตอนเรืองแสงกัน เราก็งงกันสิ มองออกไปนอกเรือ
ก้มลงดูทะเล ไหนอ่ะ…เรืองแสง ไม่เห็นมีเลย
ต่อไปนี้จินตนาการเอาเองนะ
มันมืดมาก กล้องจับภาพเรืองแสงไม่ค่อยเห็น
ทั้งเรือดับไฟหมด ไกด์บอกว่า ต้องลงไปดำดูถึงจะเห็น
มองจากข้างบนไม่เห็นหรอก เราก็กล้าๆกลัวอีกเช่นเดิม
หันไปหาเพื่อน แล้วถามว่า “ลงมั้ย”
แฟนชาวสิงค์โปร์ของเธอขยิบตาให้เรา แล้วบอกว่า “Dangerous”
ไอ้เราก็กลัวอยู่แล้ว ยิ่งพูดแบบนี้ยิ่งไม่กล้าใหญ่
แต่แฟนของเขากลับไม่สนใจ เธอไม่ลงก็ไม่ลงสิ แต่ “I will try.”
เห็นดังนั้น เราก็เลยกล้าขึ้นมา ไกด์เตือนฝรั่งว่าอย่ากระโดด
เพราะมันมืด แล้วให้เกาะกลุ่มกันไว้ใกล้ๆ อย่าแยกกัน
เราค่อยๆไต่บันไดลงไป คิดดูว่าขนาดสว่างๆยังกลัวเลย
แล้วมืดตื๊ดตื๋อแบบนี้จะไม่ให้กลัวได้ไง หัวใจก็เต้นรัวๆ กลัวมีอะไรมาดึงขา (ดูหนังมากไป)
รีบว่ายไปใกล้ๆไกด์ มีอะไรจะได้ช่วยเราได้
พอก้มหน้าลงไปมองดูใต้น้ำเท่านั้นล่ะ
โอ้วโห…เหมือนอยู่อีกโลกนึงเลย
เหมือนมีดาวระยิบระยับอยู่ในทะเลเลย มันสุดยอดมากๆจริงๆนะ
ตื่นเต้นเรียกให้สามีลงมาดูมั่ง อยากให้แม่ลงมาดูด้วยซ้ำ
แต่สองคนนั้นไม่ลงกัน เฮ้อ…น่าเสียดาย
แพลงค์ตอนเรืองแสงเกิดจากอะไร
ด้วยความสงสัยว่าแสงพวกนี้มันเกิดจากอะไร กลับมาหาข้อมูลได้ความว่า
ปรากฏการณ์เรืองแสงระยิบๆพวกนี้ มาจากตัวแพลงค์ตอน
จะพบได้ตามทะเลใหญ่ๆ พอมีคลื่นแรงๆ หรือคนลงไปว่ายน้ำ
แพลงค์ตอนที่อยู่ในน้ำก็จะเรืองแสงออกมา เป็นสีฟ้าจางๆ แค่เสี้ยววินาที
เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากศัตรู
แต่ในทะเลมีแพลงค์ตอนนับไม่ถ้วน เหมือนฝุ่นในอากาศ
เราก็เลยเห็นเป็นแสงระยิบๆต่อเนื่องกัน
คนไทยจะเรียกปรากฏการณ์ แพลงค์ตอนเรืองแสง นี้ว่า “พรายน้ำ” นั่นเอง
ถ้าเคยเห็นแมงกระพรุน หรือสัตว์อะไรที่เรืองแสงได้ ก็มีหลักการคล้ายๆกัน
ซึ่งเขาจะเรียกสัตว์ที่สามารถเรืองแสงได้ว่าเป็นพวก “bioluminescence”
ซึ่งแพลงค์ตอนส่วนใหญ่ จะเรืองแสงสีฟ้า
แต่บางชนิดก็เรืองแสงสีเขียวบ้าง แดงบ้าง ส้มบ้าง
แต่แพลงค์ตอนที่เรืองแสงพวกนี้ ไม่ได้เรืองแสงตลอดเวลานะ
ถ้ากลางวันมีแสง มันก็ไม่เรืองนะ เพราะถ้าทำแบบนั้นพลังงานหมดแน่
โดยที่แพลงค์ตอนส่วนใหญ่ จะไม่ได้เรืองแสงในตัวของมัน
แต่มันจะปล่อยสารเรืองแสงนี้ออกมาในน้ำ เพื่อล่อศัตรู
พอศัตรูเห็นแสงก็สับสน หันไปสู้กับแสงแทน
ส่วนแพลงค์ตอนก็ใช้เวลาช่วงนั้นแหละ “หนี” สิคะ 555+
แต่แพลงค์ตอนบางชนิด ก็ใช้สารเรืองแสงนี้
เป็นจดหมายรักให้สาวๆ หันมาสนใจได้เหมือนกัน (น่าร๊ากกอ่ะ)
มิน่าล่ะ เคยได้ยินข่าวของต่างประเทศ
ที่ว่าแม่น้ำเปลี่ยนสีบ้าง ชายหาดเรืองแสงบ้าง ก็มาจากแพลงค์ตอนนี้เอง
ส่วนพรายน้ำนี้เพิ่งจะรู้นี่เองว่า ก็คือแพลงค์ตอนเหมือนกัน มหัศจรรย์จริงๆ
ใครมาทัวร์ sunset ห้ามพลาดเด็ดขาด เสียดายที่ถ่ายรูปมาไม่ได้
มันต้องมาเห็นด้วยตาเปล่า จะได้ภาพประทับใจที่ไม่มีวันลืมเลยล่ะ
สรุปกิจกรรม ทัวร์4เกาะ รอบบ่าย Sunset
1. ว่ายน้ำไปที่ซอกเขา เดินผ่านซอกเขา (สวยมาก) แล้วว่ายต่ออีกนิดไปที่ชายหาด เดินเล่นชายหาด (ประมาณ 45 นาที)
2. ไปจุดดำน้ำอีกจุด (ประมาณ 20 นาที)
3. ปีนหน้าผาเตี้ยๆ (ประมาณ 20 นาที)
4. ไปจุดดำน้ำใกล้ๆเกาะไก่ (ประมาณ 15 นาที)
5. เดินชายหาดที่เกาะทับ (ประมาณ 30 นาที)
6. สิ้นสุดที่เกาะปอดะ ทานมื้อเย็น ดูการแสดงเล่นกับไฟ และกลับขึ้นเรือประมาณ 1 ทุ่ม
7. ดำน้ำดูแพลงค์ตอนเรืองแสง (ประมาณ 15 นาที) กลับถึงท่าเรือประมาณ 2 ทุ่ม
ข้อมูลแพลงค์ตอนเรืองแสงจาก askabiologist.asu.edu , scimath.org
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
I really enjoy it very much
Thank you!!!! ^__^ Hope this website provide useful informations for you all.