วิธีเก็บเงินเที่ยว
บางคนคิดว่าการเที่ยวมันเปลืองเงินบ้าง แพงบ้าง หาว่าบ้านรวยบ้าง อวดรวยบ้าง แล้วทำไมเวลาซื้อโทรศัพท์ ซื้อเสื้อผ้า กินอาหารหรูๆ ไม่บอกว่าแพงบ้างล่ะคะ ไม่แน่นะ รวมๆกันอาจจะมากกว่าไปเที่ยวก็ได้
บางคนคิดว่าซื้อของใช้ มันได้จับต้อง เห็นเป็นตัวเป็นตน แต่เที่ยวมันแว๊บเดียวก็หายไป อย่าลืมนะคะว่าประสบการณ์สำคัญกว่าสิ่งของ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เที่ยวจนหมดตัวนะคะ
บทความนี้จึงอยากเสนอไอเดีย วิธีเก็บเงินเที่ยว แบบสบายใจทุกฝ่าย ไม่เปลือง ไม่รู้สึกแพงแน่ๆค่ะ
แบ่งเงิน 80 – 10 – 10
แบ่งเงินเดือน/รายได้/กำไรสุทธิ ออกเป็นหลักๆ 3 กอง กองแรก 80% เพื่อใช้ชีวิตประจำวัน 10% เพื่อการลงทุน และ 10% สุดท้ายเพื่อท่องเที่ยว
ในความเป็นจริงอาจไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น แต่เพื่อจะได้จำง่ายๆก็ขอตั้งไว้แบบนี้นะคะ ใครจะเพิ่มลดส่วนไหนก็ตามสะดวกค่ะ
เช่น เงินเดือน/รายได้/กำไรสุทธิ = 30,000 บาท
80% ของ 30,000 บาท ก็คือ 24,000 บาท นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่ารถ ฯลฯ
10 % ของ 30,000 บาท ก็คือ 3,000 บาท นำไปลงทุนต่อ เช่น กองทุน หุ้น ปันผล ทอง ฯลฯ (ข้อนี้ต้องศึกษาให้ดีก่อนการลงทุนนะคะ ระหว่างเรียนรู้ก็เก็บออมไปก่อน หรือลงทุนที่ความเสี่ยงน้อยๆไปก่อน แต่ถ้ายิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งได้ผลลัพธ์มากค่ะ) เงินส่วนนี้อย่าได้นำมาใช้เด็ดขาดค่ะ
10% สุดท้าย ของ 30,000 บาท ก็คือ 3,000 บาท ให้นำไปท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจค่ะ
ไม่ได้จำเป็นต้องใช้หมดทุกเดือน เช่น ถ้าเราอยากไปต่างประเทศที่แพงๆ นั่นก็หมายความว่า ใน1ปี จะใช้ได้ไม่เกิน 36,000 บาท ซึ่งถ้าไปเที่ยวเองแบบประหยัดเป็น ก็สามารถไปได้หลายที่ หลายรอบเลยทีเดียว
จดบัญชีรายรับ-รายจ่าย
มาถึงตรงนี้ คีเวิร์ดแรกที่จะทำแผนนี้ได้สำเร็จนั่นก็คือ คุณต้องจดบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นค่ะ เหมือนจะไม่ยาก แต่ไม่ค่อยมีคนทำ คือมัน ต้องจดแบบละเอียดทุกบาททุกสตางค์เลยค่ะ
คำถาม
แล้วถ้ากองแรก 80% มันเหลือล่ะจะทำยังไง
–> ก็ยิ่งดีสิคะ เอาเงินที่เหลือไปใส่ช่อง 10% เพื่อการลงทุน อย่าเอาไปใส่ช่องท่องเที่ยวนะคะ แบบนี้ก็จะยิ่งทำให้คุณได้ท่องเที่ยวในระยะยาว และได้เร็วขึ้น เยอะขึ้นด้วย
แล้วถ้ากองแรกไม่เหลือล่ะ แถมยังจะไม่พอด้วยซ้ำ
–> ก็ถึงบอกให้จดบัญชีไงคะ เวลาคุณใช้จ่าย คุณไม่เคยรู้ตัวเลขที่แน่นอน ว่าคุณจ่ายไปเท่าไหร่ ถ้าคุณจดบัญชีคุณจะรู้ได้เองว่าคุณจะประหยัดอะไรได้บ้าง อย่าเพิ่งแก้ปัญหานี้ด้วยการเร่งหาเพิ่มอย่างเดียว เพราะมันจะทำให้คุณไม่มีเวลากลับมาพิจารณาตัวเอง
แล้วไอ้ส่วน 10% ที่นำไปลงทุนล่ะ จะเก็บไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่จะเอาออกมาใช้ได้
–> นำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อมันงอกเงย แล้วคุณจะเก็บดอกผลจากมันได้ไม่เกิน 10% ด้วยนะ
เช่น เงินลงทุนทั้งหมด 100,000 บาท สมมุติว่ามันงอกเพิ่มมา 5% นั่นก็คือ 5,000 บาท เราก็เอา 5,000 บาท เป็นตัวตั้ง แล้วเด็ด 10% ของ 5,000 บาท ออกมาใช้ นั่นก็คือ 500 บาท
วิธีนี้ดูเหมือนจะน้อยนะคะ แต่เราไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบนี้ไปชั่วชีวิต ไม่งั้นก็ไม่ได้ใช้เงินที่อุตส่าห์เก็บมากันพอดี
แล้วเมื่อไหร่ถึงจะใช้เยอะขึ้นได้
–> ถึงตอนนั้นคุณจะตัดสินใจได้เองแน่ๆค่ะ เพราะคุณผ่านด่านหินมาซะขนาดนั้นแล้ว
เพิ่มรายรับ
คีย์เวิร์ดที่สองคือ การเพิ่มเงินเดือน/รายได้/กำไรสุทธิ (พวกนี้แอดมินไม่เกี่ยว) แต่อย่าลืมว่ามันมีวิธีเพิ่มอีกอย่างก็คือ การเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
จากที่ข้างต้นบอกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนคือ 5% เราสามารถเพิ่มเป็น10% หรือมากกว่านั้น ก็จะทำให้ตัวเลขผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเท่าตัว (เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น ตั้งใจ และการใฝ่หาความรู้ของคุณเองค่ะ)
จะเห็นว่า การประหยัด ไม่ได้ประหยัดแบบไม่มีเป้าหมาย เราประหยัดก็เพื่อนำมาลงทุนต่อ ให้ได้ดอกผลที่มากขึ้น ดอกผลจะมากขึ้นได้ ก็เพราะมีลำต้นโตขึ้น(เงินต้นมากขึ้น)
ยกตัวอย่างนะ
เงินเดือน 15,000
เด็กวัยรุ่นจบใหม่ เงินเดือน 15,000 บาท ต่อให้ใช้จ่าย 80%เลย = 12,000 บาท/ด. เก็บ 10% = 1,500 บาท/ด. เที่ยว 10% = 1,500 บาท/ด.
5 ปีผ่านไป
เด็กคนนี้จะมีเงินเก็บ 90,000 บาท (สมมุติว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีรายได้เสริมอะไรเลย และเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นด้วย) แล้วระหว่างที่เก็บเงินนี้ เด็กคนนี้ก็ค่อยๆเรียนรู้เรื่องการลงทุน มีความมั่นใจ พร้อมลงทุนแล้ว
ขึ้นปีที่ 6
เด็กคนนี้ได้รับเงินเดือนขึ้นเป็น 20,000 บาท สมมุติว่าเขาทำเหมือนเดิม ใช้จ่าย 80% = 16,000 บาท/ด. เก็บ 10% = 2,000 บาท เที่ยว 10% = 2,000 บาท
อย่าลืมว่าเด็กคนนี้มีเงินเก็บ 90,000 บาทด้วยนะ แล้วเขาก็พร้อมนำเงินไปลงทุนแล้วด้วย ผลตอบแทนสมมุติว่าได้ 5%/ปี = 4,500 บาท (นี่ยังไม่ได้เอาไอ้ที่เขาเก็บเพิ่มแต่ละเดือน มาเพิ่มในกองลงทุนนี้ด้วยนะคะ)
5 ปีผ่านไป
เด็กคนนี้ก็จะมีเงินเก็บใหม่ 120,000 บาท + ผลตอบแทน5% ที่ได้จากเงินลงทุนเดิม 90,000 บาท x 5ปี = 22,500 บาท (นี่คิดในกรณีที่ไม่ได้ทบต้นทบดอกนะคะ ในความเป็นจริงมันต้องมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ขอคิดอย่างน้อยไว้ก่อน)
แปลว่า 10 ปี นับจากเรียนจบ เด็กคนนี้จะมีเงินเก็บ 90,000 + 22,500 +120,000 = 232,500 บาท (เป็นอย่างน้อย)
ในระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้ไม่ได้อดเที่ยวเลย และใช้เงินซื้อของจำเป็นในชีวิตได้ตามปกติ แถมยังมีเงินเก็บด้วย
ขึ้นปีที่ 11
เด็กคนนี้(อายุประมาณ 32 ไม่เด็กแล้วสิ) มีเงินเดือน/รายได้ เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท สมมุติว่าเขาก็ยังทำเหมือนเดิม ใช้จ่าย 80% = 24,000 บาท/ด. เก็บ 10% = 3,000 บาท/ด. เที่ยว 10% = 3,000 บาท/ด.
แล้วก็มีเงินเก็บรวม 232,500 บาท เขาก็นำไปลงทุนต่อ สมมุติว่าได้ผลตอบแทนแค่ 5% = 11,625 บาท/ปี (ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะได้มากกว่านี้ ถ้าพยายามศึกษาหาข้อมูล ฝึกฝน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนอยู่ตลอดเวลา อาจเป็น 10% หรือ 15% ก็ได้)
5 ปีผ่านไป
เขาจะมีเงินเก็บใหม่ 180,000 บาท + ผลตอบแทน 5% ที่ได้จากเงินลงทุนเดิม 232,000 บาท x 5ปี = 58,125 บาท (เงินที่งอกออกมาเองโดยที่เราไม่ได้ใช้แรงงาน)
จริงๆแล้วนี่เป็นการคำนวนแบบรวบรัด ทีละ 5 ปี โดยไม่มีการเพิ่มเงินต้นเลย ใน 5 ปีนั้น ซึ่งจริงๆเราสามารถเพิ่มได้ทุกปีอยู่แล้ว นี่คิดแบบอย่างน้อยๆที่สุดแล้วนะคะ ในความเป็นจริงอาจได้มากกว่านี้ 2-3 เท่าด้วยซ้ำค่ะ
ลองกลับไปคำนวนของตัวเองดูสิคะ วิธีแบบนี้จะทำให้ไปเที่ยวได้แบบไม่กลับมากังวลเรื่องเงิน ระหว่างที่ยังมีไม่เยอะก็ยังไปเที่ยวได้ แต่ใช้งบไม่เกินตัว พออายุมากขึ้นก็จะไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ แถมเที่ยวได้มากขึ้นด้วยค่ะ
มีคนบอกว่า อายุมากขึ้น ต้องมีลูก ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น แผนแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก แค่ค่าใช้จ่ายก็แทบจะไม่พอแล้ว
–> เรื่องนี้ถ้าคุณทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย จริงๆ ทำจนเป็นนิสัยแล้ว คุณจะรู้วิธีแก้แน่นอนค่ะ ไม่มีใครช่วยคุณได้ ในเมื่อคุณเลือกที่จะมีภาระเพิ่มเอง (ยกเว้นภาระที่ไม่ได้ก่อเองนะ)
อายุมากขึ้น เที่ยวไม่ไหวแล้ว วัยรุ่นมีแรงก็เที่ยวไปก่อน
–> เรื่องนี้ก็แล้วแต่คนจะชอบนะคะ แต่ถ้าคุณอายุมากขึ้นใจจริงก็อยากไปเที่ยวแหละ แต่ด้วยความไม่มีเงิน ก็เลยหลอกตัวเองว่าไม่อยากไป ไปไม่ไหว แบบนี้จะดีหรอคะ และนี่แหละคือเป้าหมายหนึ่งนั่นก็คือ การดูแลสุขภาพ ฟิตร่างกายให้พร้อมตลอดเวลาแม้ว่าจะอายุมากขึ้นก็ตาม
สำหรับวัยรุ่นที่มีไฟเที่ยวเต็มเปี่ยม ก็เห็นด้วยค่ะว่าควรจะออกเที่ยว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะค่ะ ว่าจะแบ่งเงินเที่ยวอย่างไร จะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน(แต่ระหว่างรอก็ไม่ได้อดนะ แต่ไม่จุใจ) หรือจะยอมกินขมๆเปรี้ยวๆ(แต่จุกเลย)
สรุป
- จดบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อรู้อุดรอยรั่ว และรู้สถานการณ์
- วางแผนการเงิน ประหยัด เก็บออม
- เรียนรู้เรื่องการลงทุน และลงทุน (อย่าลืมจดบัญชีเรื่องการลงทุนด้วยนะคะ)
- แบ่งเงินสำหรับการเที่ยวให้ชัดเจน อย่าเบียดเบียนเงินกองอื่น
ตอน1 ทำไมเห็นคนอื่นไปเที่ยวได้บ่อยจัง
ตอน2 ออกแบบการเที่ยวของตัวเอง
ตอน3 วิธีเก็บเงินเที่ยวแบบยั่งยืน
ติดตามบทความใหม่ได้ที่ facebook.com/gonoguide
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ