ฮิตเลอร์ กับสงครามโลก

ฮิตเลอร์ กับสงครามโลก

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพาโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่2 ผู้นำจอมเผด็จการอันดับหนึ่งของโลก ผู้สั่งฆ่าชาวยิวกว่า5ล้านคน เขาทำไปเพื่ออะไร แล้วทำไม่ถึงมีคนยกย่องนับถือเขาเยอะ เขามีความดีความชอบอะไรบ้างมั้ย

ถ้าเยอรมนีเป็นฝ่ายชนะสงคราม เราจะยังมองฮิตเลอร์เป็นผู้ร้ายอยู่มั้ย หรือเขาจะกลายเป็นวีรบุรุษ

“ในโลกนี้ไม่มีใครดีที่สุด และไม่มีใครเลวที่สุด”


 

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)

เกิด 20 เมษายน ค.ศ.1889  ที่ออสเตรีย สัญชาติออสเตรีย (เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่1  25 ปี)

ก้าวมาเป็นผู้นำพรรคนาซีเยอรมัน 2 สิงหาคม ค.ศ.1934

เสียชีวิต 30 เมษายน ค.ศ.1945  ที่กรุงเบอร์ลิน ด้วยการยิงตัวตาย ด้วยวัย 56 ปี

ด้านน่ากลัว

เข่นฆ่า ทรมาน กวาดล้างชาวยิวกว่า 5 ล้านคน  , เป็นผู้นำโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่2

ด้านผู้นำ

เป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดี เข้มแข็ง เด็ดขาด มุ่งมั่น นำพาชาติให้เจริญ


 

ครอบครัวของฮิตเลอร์

พ่อของฮิตเลอร์เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงกับลูกๆ  ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดี เคร่งศาสนา แต่ขาดความอบอุ่น  แต่แม่ตามใจ และตนเองก็ส่อแววความเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก ก็อาจทำให้ฮิตเลอร์เอาแต่ใจ และกลายเป็นจอมเผด็จการ


 

ฮิตเลอร์ไปเวียนนา

ตอนอายุ 18 แม่ของฮิตเลอร์ก็เสียชีวิต ฮิตเลอร์เอาเงินที่ได้รับเป็นมรดกของพ่อ ใช้เดินทางไปเวียนนา เพื่อเรียนศิลปะ  แต่ก็โดนปฏิเสธตั้งแต่ยื่นใบสมัครแล้ว  ก็เลยไปเรียนสถาปัตยกรรม แต่ก็เข้าไม่ได้อีก  ฮิตเลอร์รู้สึกอับอายมาก ก็เลยใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในเวียนนา


 

ช่วงนี้อาจเป็นสิ่งหล่อหลอมที่ทำให้ฮิตเลอร์ค่อยๆเริ่มเกลียดชาวยิว คือ

1. เพื่อนชาวยิวของเขาได้ดิบได้ดีในด้านศิลปะที่ตัวเองเรียนไม่ได้

2.  ผู้หญิงที่ตัวเองแอบรัก ไปแต่งงานกับชาวยิว

 

และสิ่งที่หล่อหลอมให้ฮิตเลอร์ยกย่องเยอรมนีมาก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นชาวออสเตรีย คือ

1. ครูที่ฮิตเลอร์ชอบยกย่องเยอรมนีมากกว่าออสเตรีย

2. ฮิตเลอร์ชื่นชอบ ออตโต ฟอน บิสมาร์ค ผู้นำเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ


 

ฮิตเลอร์เกณฑ์ทหาร

พอฮิตเลอร์อายุ 20 ต้องเกณฑ์ทหาร ก็ไม่ยอมเข้าร่วมกองทัพออสเตรีย ก็เลยหนีไปมิวนิค แต่ก็โดนจับได้ แต่โชคดีของฮิตเลอร์ ที่ตรวจร่างกายแล้วพบว่าตัวเองอ่อนแอเกินไป เป็นทหารไม่ได้ ก็เลยไปอยู่มิวนิคได้สมใจ

หลังจากนั้นฮิตเลอร์ก็เข้าร่วมลัทธิชาตินิยม และลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ  และได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่1 ด้วย  เป็นพลทหารเล็กๆอยู่แนวหน้า  แต่กลับรอดชีวิตมาได้ จนได้ติดยศสิบตรี

ชีวิตในกองทัพ ทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็นคนมีวินัย เอาจริงเอาจังกับชีวิต กล้าหาญ แม้ว่าตัวเองก็ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเลย  แถมยังได้รับเหรียญเกียรติยศอีกด้วย

หน้าที่การงานทางทหารของฮิตเลอร์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเริ่มหันมาสนใจการเมือง


 

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

หลังจากเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่1  พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี ได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาปกครองประเทศ มีการร่างรัฐธรรมนูญด่วนขึ้นมา ซึ่งทำให้ประเทศเยอรมนีช่วงนั้น (ค.ศ.1919-1933) ถูกเรียกว่า “สาธารณรัฐไวมาร์”  เพราะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นที่เมืองไวมาร์

 

คอมมิวนิสต์

ช่วงนั้นรัสเซียเข้ามาพยายามเปลี่ยนประเทศเยอรมนีให้เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งแนวคิดตรงกันข้ามกับระบบสาธารณรัฐของเยอรมนีโดยสิ้นเชิง  มีการสู้กันตามท้องถนน เกิดจราจล โดยมีเบอร์ลินเป็นจุดศูนย์กลาง

อีกกลุ่มหนึ่งที่ถือเป็นคู่ปฏิปักษ์กับรัฐบาลก็คือ กลุ่มนิยมกษัตริย์  โดยพยายามจะยกให้โอรสของพระเจ้าไกเซอร์ขึ้นมาเป็นกษัตริย์อีก  แต่สุดท้ายกลุ่มนี้ก็ถูกกำจัดออกไปได้

เมื่อประธานาธิบดีคนเก่าเสียชีวิต ประธานาธิบดีคนใหม่ถูกประชาชนเลือกขึ้นมาก็คือ “พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์ก” ซึ่งเป็นนายพลเก่า เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงมาก่อน

แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังสงคราม ที่เยอรมนีมีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทุกคนโทษรัฐบาล โทษประธานาธิบดี โทษนักการเมือง


 

ฮิตเลอร์ไม่พอใจชาวยิว

ระหว่างนั้นฮิตเลอร์ถูกสนับสนุนให้ไปเรียนจิตวิตยา เขาฝึกหนักด้านการพูดให้คนคล้อยตาม

ฮิตเลอร์มองว่าการที่ผู้นำคอมมิวนิสต์ชาวยิว กำลังจะเปลี่ยนเยอรมนีเป็นสังคมนิยม นั่นแปลว่า ชาวยิวจะเข้ามายึดครองเยอรมนีที่ตัวเองรักและเทิดทูน  ฮิตเลอร์ยิ่งโกรธเข้าไปอีก

เมื่อมีการยกเลิกการแบ่งชนชั้นระหว่างยิวกับไม่ยิว ทำให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน  แต่ฮิตเลอร์มองว่าชาวเยอรมันคือชนชาติอารยสูงส่งกว่าเชื้อชาติไหนๆ

ฮิตเลอร์กล่าวว่า ประเทศเยอรมนีจะรอดได้ต้องเนรเทศชาวยิวออกไปให้หมด ไม่งั้นต่อไปชาวยิวจะครอบครองเยอรมนีทั้งหมดรวมถึงครองโลกด้วย เพราะตอนนี้แคว้นบาวาเรียก็เต็มไปด้วยนักการเมืองยิวแล้ว


 

ทำไมเยอรนีถึงย่ำแย่ขนาดนั้น

  1. ต้องจ่ายค่าเสียหายจากสงครามแต่เพียงผู้เดียว
  2. ถูกริบอาวุธทุกชนิด
  3. ให้มีทหารได้แค่ 1 แสนคน
  4. ให้เปิดน่านน้ำ (ให้ประเทศอื่นเข้ามาใช้ประโยชน์)
  5. ชายแดนถูกเฉือนให้เพื่อนบ้าน
  6. ชาวเยอรมันกว่า 16 ล้านคน ต้องกระจัดกระจายไปเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศข้างเคียง
  7. ประชาชนหาเงินมาได้ต้องใช้หนี้ให้ประเทศ
  8. ต้องส่งส่วยทรัพยากรในประเทศ
  9. ทรัพย์สินของคนเยอรมันที่อยู่นอกประเทศ ถูกยึดหมดเกลี้ยง

 

การปราศรัยของฮิตเลอร์

เมื่อฮิตเลอร์เรียนจบจิตวิทยาการพูดแล้ว ก็ออกไปพูดตามที่ต่างๆเพื่อเป็นการฝึกฝน จนกลายเป็นนักปราศรัยตัวยง  ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องที่ออกมาจากใจจริงด้วยความรักชาติอย่างแท้จริง

เขาคาดหวังที่จะกอบกู้ประเทศเยอรมนีให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยเว้นที่จะโจมตีพวกยิวอยู่ดี


 

ฮิตเลอร์เข้าพรรค GWP

ทางกองทัพให้ฮิตเลอร์เข้าไปเป็นสายลับในพรรคแรงงานเยอรมนี(GWP) แต่ฮิตเลอร์กลับสนใจพรรคนี้อย่างจริงจังเพราะนโยบายตรงกับความคิดของเขา

นั่นคือการเป็นสังคมนิยมแบบเยอรมนี และต่อต้านมาร์กซิสต์ เขามีตำแหน่งเป็นผู้จัดการโฆษณาชวนเชื่อ


 

ฮิตเลอร์เข้าสู่การเมือง

ในวัย 27 ของฮิตเลอร์ ถือว่าได้เริ่มต้นเข้ามาอยู่ในวงการการเมืองเต็มตัวแล้ว และด้วยวาทะของฮิตเลอร์ทำให้มีพรรคใหญ่โตขึ้น สมาชิกเพิ่มขึ้น แปลว่าเงินเข้าพรรคก็เพิ่มขึ้นด้วย

ลักษณะการปราศรัยของฮิตเลอร์ คือ ไปให้ช้า คนจะได้อยากฟัง พูดให้ดัง หนักแน่น จริงใจ สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจัง ตาถลน

เรื่องที่พูดก็ปรับให้เข้ากับผู้ฟัง  พูดกับชาวชนบทก็จะพูดเรื่องปากท้อง ยกเลิกการเก็บภาษีชาวไร่ชาวนา  ถ้าพูดกับกรรมกร ก็จะพูดเรื่องการกินดีอยู่ดีขึ้น เล่นงานรายใหญ่  แต่ถ้าพูดกับนักธุรกิจ ก็จะพูดเรื่องการขจัดคอมมิวนิสต์ซึ่งทำให้การค้าแย่

แต่ก็จะตามด้วยนโยบายของพรรคทุกครั้งคือ

  1. รวมชาวเยอรมันให้เป็นหนึ่ง เอาดินแดนที่ถูกเฉือนไปกลับคืนมา
  2. การยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ที่กดขี่ข่มเหงชาวเยอรมัน ซึ่งไม่มีทางได้ผุดได้เกิดแน่ๆ
  3. การให้สวัสดิการคนชรา
  4. การเนรเทศชาวยิว

 

กำเนิดนาซี

ต่อมาในปีค.ศ.1920 พรรค GWP ได้เปลี่ยนชื่อเป็น National Sozialist หรือเรียกสั้นๆว่า NAZI


 

กษัตริย์วิลเฮล์มที่2 สละบัลลังก์

การเมืองในเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่1  เป็นช่วงที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลจนถึงที่สุด จึงเกิดการปฏิวัติขึ้น ทำให้กษัตริย์วิลเฮลที่2 ต้องสละบัลลังก์ พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี ได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลขึ้น

แต่ก็นำพาประเทศแบบระหองระแหง ประชาชนแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อดอยาก ก่อความไม่สงบบ่อยครั้ง


 

พรรคนาซีเติบโต

ระหว่างนั้นฮิตเลอร์เอาคำว่า “ชาติ” นำหน้า  และได้รับการสนับสนุนหลายด้าน ทำให้พรรค NAZI เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่อย่าลืมว่าฮิตเลอร์ยังไม่ใช่หัวหน้าพรรค แต่ดันมีความเด่นดังเกินหัวหน้าพรรคซะอีก


 

วางแผนกำจัดฮิตเลอร์

หัวหน้าพรรคก็เลยคิดจะกำจัดฮิตเลอร์ แต่ก็เสียดายที่ฮิตเลอร์เป็นคนทำให้พรรคใหญ่ขึ้นได้ถึงขนาดนี้ จะกำจัดออกไปก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็เดี๋ยวจะเป็นภัยทีหลังแน่  ก็เลยเสนอตำแหน่งกำมะลอให้  แต่ฮิตเลอร์ไม่ได้โง่ขนาดนั้นก็เลยโมโหจัด ลาออกจากพรรคไปเลย

ทางพรรคก็คิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ใช้โอกาสนี้โจมตีฮิตเลอร์ด้วยการกล่าวหาว่า ฮิตเลอร์เป็นคนทรยศ บ้าอำนาจ ยักยอกทรัพย์ของพรรค แล้วเอาไปปรนเปรอโสเภณี และอีกหลายๆเรื่องที่สามารถจะขุดได้


 

ฮิตเลอร์ตอบโต้

แต่ฮิตเลอร์ก็ฉลาดพอที่จะตอบโต้ โดยไม่ตอบโต้ทางปาก งดปราศรัย ซึ่งทำให้คนอยากรู้มากขึ้น แต่ใช้วิธีติดป้ายปฏิเสธทั่วเมือง รอจนคนอัดอั้นอยากรู้ความจริง ถึงจะเปิดปราศรัย ซึ่งทำให้คนเข้าฟังอย่างล้นหลาม ที่มิวนิค

ทุกสิ่งที่เขาพูด ออกมาจากใจจากความรักชาติ(เยอรมนี) ด่านักการเมือง ที่เห็นแก่ตัว พอพูดจบทุกคนปรบมือแสดงความเห็นด้วยอย่างกึกก้องและยาวนาน


 

ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค

ฮิตเลอร์เห็นว่ามีคนสนับสนุนเขาเยอะ จึงวางแผนฮุบพรรคด้วยการจัดประชุมพรรค (ทั้งๆที่ตัวเองลาออกแล้ว) แบบด่วนและเป็นความลับ เพื่อให้ได้เฉพาะคนที่สนับสนุนเขา มาลงคะแนน ทำให้ในวันนั้นฮิตเลอร์กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของพรรคนาซีอย่างเต็มตัว


 

นโยบายพรรคนาซีในการนำของฮิตเลอร์

  1. ลัทธิสังคมนิยมแบบชาตินิยม คือเยอรมันแต่งงานกับคนเยอรมัน คนเยอรมันมีสิทธิเหนือชาติอื่น
  2. ต่อต้านโจเซฟ สตาลิน ผู้นำคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียต
  3. ยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์

 

โรงเบียร์หาสมาชิก

สถานที่ที่ฮิตเลอร์มักใช้ในการรับสมัครสมาชิกคือ โรงเบียร์ โดยให้คนเข้ามาดื่มเบียร์ฟรี แล้วฟังที่เขาพูด และโรงเบียร์ที่ถูกใช้บ่อยที่สุดคือ โรงเบียร์ฮอฟ บรอย เฮาส์ ที่มาเรียนพลาส ในมิวนิค  ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั่งดื่มเบียร์ และร้านอาหารจำนวนมาก


 

ฮิตเลอร์เข้าคุก

พรรคนาซีถือว่าเป็นลัทธิชาตินิยมขวาจัด ซึ่งตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์ ทำให้มีการสู้รบ ใช้กำลังกัน จนทำให้ฮิตเลอร์ถูกจับขังนานถึง 3 เดือน ด้วยคดีทำร้ายนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม

ซึ่งหลังจากฮิตเลอร์ออกจากคุก ก็เริ่มแสดงความเป็นเผด็จการมากขึ้น  ด้วยการก่อตั้งกองกำลังอารักขาตัวเอง และเล่นงานฝ่ายตรงข้าม


 

ฮิตเลอร์เข้าคุกครั้งที่2

ช่วงอายุ 34 ปีของฮิตเลอร์ เริ่มทำการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ และฮิตเลอร์ก็ต้องเข้าคุกอีกครั้ง  โทษครั้งนี้นานถึง 5 ปี  แต่เอาเข้าจริงก็แค่ 9 เดือนเท่านั้น อาจเป็นเพราะการวิ่งเต้นของพรรคพวก และความนิยมในตัวฮิตเลอร์ที่สูงขึ้น

ในช่วงอยู่ในคุกเป็นโอกาสที่ดีในการเขียนหนังสือชื่อ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” ซึ่งผลงานนี้ทำให้ฮิตเลอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นอีก


 

ฮิตเลอร์กับหลานสาวแท้ๆ

ต่อมาในวัย 40 ปีของฮิตเลอร์ ก็ได้ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับหลานสาวแท้ๆของตัวเองในวัย 19 ปี ที่ชื่อเจลิ (ลูกสาวของพี่สาวต่างแม่ ซึ่งเข้ามาทำงานเป็นแม่บ้านของฮิตเลอร์)

เจลิไม่ได้รักฮิตเลอร์ในเชิงชู้สาว แต่เล่นตามน้ำไปเพราะต้องการเงินและความมีหน้ามีตา ในขณะที่ฮิตเลอร์เป็นคนประหยัดติดดิน แต่ก็ยอมทำทุกอย่าง ให้ทุกอย่างที่เจลิต้องการ


 

แฟนใหม่ของฮิตเลอร์

แต่ต่อมาฮิตเลอร์ก็ได้พบกับสาววัย17 อีกคนที่ชื่อ อีวา  พอเจลิรู้เข้าก็ไม่พอใจ กลัวตัวเองจะสูญเสียอำนาจ และทุกอย่างไปก็เลยขู่ฆ่าตัวตาย  และในที่สุดเจลิก็ฆ่าตัวตายจริงๆ  ตั้งแต่นั้นมาฮิลเลอร์เลยเลิกกินเนื้อสัตว์ แล้วหันมากินมังสวิรัติตลอดชีวิต

นั่นคือสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์  แต่มีข่าวลือหลายทางที่อาจเป็นไปได้เช่น ฮิตเลอร์ทำร้ายร่างกายเจลิแล้วบังคับให้เจลิยิงตัวตาย หรือเจลิตั้งครรภ์ หรือนายพลคนสนิทเป็นคนสั่งเพราะเจลิขู่จะหักหลังฮิตเลอร์


 

เยอรมนีตกต่ำที่สุด

ปีค.ศ.1927-1932 คือช่วงที่ฮิตเลอร์มีอายุ 38-43 ปี เป็นช่วงที่พรรคนาซีเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับความตกต่ำของประเทศเยอรมนีจนถึงขีดสุด   เพราะประชาชนอึดอัดกับสภาพเศรษฐกิจที่แทบจะอดตาย  พรรคนาซีซึ่งชูนโยบายนิยมการค้าเสรี ใช้อุตสาหรรมเพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่เยอรมนี


 

ฮิตเลอร์ได้เป็นนายกฯ

พรรคนาซี และพรรคคอมมิวนิสต์สู้รบกันอย่างดุเดือด  แม้ว่าพรรคนาซีจะไม่เคยได้รับเสียงข้างมากในสภาไรซ์สตากเลย

สุดท้ายอยู่ๆฮิตเลอร์ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยขณะนั้นมีประธานาธิบดีคือ พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์ก


 

สาเหตุที่ฮิตเลอร์ได้เป็นนายกฯ

ว่ากันว่าเป็นเพราะกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมือง และกองทัพสนับสนุนให้ฮิตเลอร์ขึ้นนั่งเป็นนายกฯ   ไม่ใช่เพราะเห็นดีเห็นงามกับฮิตเลอร์

แต่เพียงเพราะกลัวฮิตเลอร์จะยิ่งใหญ่ อาจยึดอำนาจ จนเป็นภัยกับกลุ่มการเมืองเก่าๆ และกองทัพ  ก็เลยคิดว่ายกให้เป็นใหญ่ซะเพื่อชักใยควบคุมเบื้องหลัง และหวังลึกๆว่าจะให้มีการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นมาอีก

แต่หมากเกมส์นี้กลับได้ผลตรงกันข้าม ฮิตเลอร์ไม่แม้กระทั่งจะเชื่อฟังกลุ่มอำนาจเก่า กลับเป็นจุดเริ่มต้นของอำนาจใหม่ของฮิตเลอร์ที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้อีกแล้ว


 

ขั้วอำนาจทั้ง 3

สรุปว่าช่วงนั้นได้แบ่งขั้วหลักๆเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มนิยมกษัตริย์ กลุ่มคอมมิวนิสต์ และกลุ่มโซเชียลลิสต์แห่งชาติ (NASI)


 

ฮิตเลอร์ใช้แผนลวง

เรื่องมันเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก  ประกาศทางสาธารณะบอกว่า รัฐสภาถูกไฟไหม้ พรรคนาซีจับได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้กระทำ และกำลังวางแผนปฏิวัติ

ฮิตเลยเข้าพบประธานาธิบดีแบบไม่ต้องขออนุญาติ เพื่อขอให้ออกกฏหมายฉุกเฉิน ปกป้องประชาชน ด้วยการจำกัดสิทธิประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อกวาดล้างพวกคอมมิวนิสต์แทบสิ้นซาก

แต่ในภายหลังพบหลักฐานว่า คนของพรรคนาซีนั่นแหล่ะที่เป็นคนวางเพลิงรัฐสภา


 

ฮิตเลอร์ได้เป็นประธานาธิบดี

ในปีต่อมา ประธานาธิบดีเสียชีวิต แล้วใครจะเหมาะขึ้นมาเหนือฮิตเลอร์ได้ ยกเว้นฮิตเลอร์เอง ที่ควบ 2 ตำแหน่งทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี ในวัย 44 ปี

 

ล้มสาธารณรัฐไวมาร์ ตั้งอาณาจักรไรซ์ที่3

และฮิตเลอร์ยังได้ล้มเลิกสาธารณรัฐไวมาร์ลงในปีเดียวกันนั้นเอง แล้วตั้งชื่อใหม่เป็นอาณาจักรไรซ์ที่3


 

อาณาจักรไรซ์ที่3 คืออะไร แล้วที่1 กับ2 มีตั้งแต่ตอนไหน

คำว่าอาณาจักรไรซ์ เป็นชื่อที่กลุ่มนาซีเรียกกันเอง ซึ่งเขาหมายถึงดังนี้

อาณาจักรไรซ์ที่1  คือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ.962-1806)

อาณาจักรไรซ์ที่2  คือจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ.1871-1918) เป็นช่วงที่พยายามรวมประเทศเยอรมนีขึ้นมาอีกครั้ง โดยนายพลบิสมาร์ค (Otto von Bismarck) ซึ่งเป็นผู้นำแคว้นปรัสเซีย แต่ก็จบลงตอนแพ้สงครามโลกครั้งที่1

อาณาจักรไรซ์ที่3 คือกลุ่มนาซีเป็นคนตั้งขึ้นเอง และหวังจะให้เยอรมนียิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง


 

ฮิตเลอร์ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์

ยังไม่จบแค่นั้น สิ่งที่ฮิตเลอร์ได้ทำอีกเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมือนเป็นวันเลิกทาสของชาวเยอรมันเลยทีเดียว ก็คือการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฮิตเลอร์พร้อมจะทำสงคราม


 

ชาตินิยม

ความตั้งใจของฮิตเลอร์มีพื้นฐานจากความเชื่อหลักคือ ความเป็นชาตินิยมแบบสุดๆ ยกย่องเชื้อชาติเยอรมันดั้งเดิมผู้ถือเลือดของติวตัน ซึ่งมีคุณสมบัติเหนือเชื้อชาติใดๆในโลก  ไม่เชื่อคัมภีร์ไบเบิลเพราะถือว่าเป็นของชาวยิว


 

ชนชาติติวตัน คือ ชนเชื้อสายทางยุโรปตอนเหนือ เช่น อังกฤษ เยอรมัน เฟลมิช(แถวๆเบลเยียม) ดัทช์สแกนดิเนเวียน  กลุ่มนี้จะมีพิธีกรรมทางศาสนาแปลกๆคือฆ่ามนุษย์บูชายัญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชลยศึก  เป็นศาสนาความมเชื้อคล้ายๆพ่อมดหมอผี


 

ส่วนเครื่องหมายสวัสดิกะ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของพรรคนาซี เป็นเครื่องหมายของชนเผ่าหนึ่งของเยอรนีโบราณ


 

ลัทธินาซีอาจจะคล้ายๆกับลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์  แต่ล้ำลึกกว่าตรงที่

  1. ลัทธินาซีเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ไม่ใช่แค่พรรคการเมือง ดังนั้นทุกชนชั้นต้องรวมกำลังกันสร้างประเทศ และกำจัดฝ่ายอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง
  2. เพื่อความมีประสิทธิภาพและเฉียบขาด ประชาชนต้องเสียสละเพื่อความยิ่งใหญ่ของรัฐ พูดง่ายๆคือ รัฐเผด็จการ
  3. จะยิ่งใหญ่ได้ต้องเกิดสงคราม ดังนั้นต้องปกครองแบบรัฐทหาร
  4. แบ่งมนุษย์ออกเป็นแค่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มอารยัน คือขาวเยอรมัน สูงสง่า ผมทอง ซึ่งเป็นชนชั้นสูง อีกกลุ่มคือกลุ่มไม่ใช่อารยัน เช่น ชาวสลาฟ พวกผิวสี และยิว ซึ่งต้องเป็นทาสของชาวเยอรมัน

จากแนวคิดด้านบนทำให้ชาวเยอรมันไม่สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้ และพรรคอื่นๆต้องถูกยุบ จะเหลือแค่พรรคนาซีพรรคเดียวเท่านั้น


 

ลัทธินาซี

ลัทธินาซีพยายามปลูกฝัง และวางรากฐานแนวคิดแบบนี้ให้แก่เยาวชน  เรียกได้ว่าใครต่อต้านต้องถูกกำจัด แต่ชาวยิวไม่ว่าจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ต้องถูกทารุณ และฆ่าสถานเดียว

ดูเหมือนจะโหดร้ายใช่มั้ย แต่ถ้ามองในมุมมองชองชาวเยอรมัน ฮิตเลอร์ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้สร้างชีวิตใหม่ สร้างอนาคต และเป็นความหวังของชาติเลยทีเดียว

เพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมต่างๆได้รับพัฒนา โดยเฉพาะการสร้างอาวุธ


 

ฮิตเลอร์ซุ่ม

ช่วงนี้ฮิตเลอร์พยายามจะไม่ก่อสงคราม แต่จะพยายามสร้างรากฐานประเทศที่แข็งแกร่งก่อน แล้วค่อยๆรุกเข้าดินแดนข้างเคียงแบบเงียบๆและสงบ เพื่อประหยัดทรัพยากร

แต่บางทีก็ต้องหาโอกาสฝึก และทดลองอาวุธ ด้วยการทำทีเป็นส่งทหารไปช่วยรบในสงครามกลางเมืองของสเปน  และอิตาลี  ช่วงนั้นเรียกได้ว่าประสบการณ์การรบ และอาวุธในสงคราม ของเยอรมนีไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย


 

ออสเตรียยอมแพ้เยอรมนี

การแสดงแสนยานุภาพทำให้ประเทศข้างเคียงอย่างออสเตรีย ต้องยอมแพ้โดยไม่ต้องทำสงครามเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย


 

ฮิตเลอร์จ้องฮุบเชคโกสโลวักเกีย

ประเทศต่อไปที่ฮิตเลอร์ต้องการก็คือ เชคโกสโลวักเกีย แต่ตอนนั้น ผู้นำของเชคโกสโลวักเกียเป็นชนกลุ่มน้อย(ชาวสลาฟ)

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในซูเดเตนเป็นชาวเยอรมัน  (ซูเดเตน เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในเชคโกสโลวักเกีย)

เลอร์ก็เลยยุให้ผู้นำของซูเดเตน ขอแยกตัวมาเข้ากับเยอรมนี  (ใครจะยอมปล่อยล่ะ)

แต่ตอนนั้นเชคโกสโลวักเกียอยู่ในการคุ้มครองของอังกฤษ และฝรั่งเศส  ซึ่งก็อังกฤษและฝรั่งเศสก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม ก็เลยขอให้เชคโกสโลวักเกียยอมๆยกให้ฮิตเลอร์ไปเหอะ (จะบ้าเหรอ ใครจะไปให้)

เยอรมนีตั้งท่าทำทีว่าจะบุคเชคโกสโลวักเกีย เพื่อลองเชิง  อังกฤษก็เลยหึ่มๆ ด้วยการฟ้องชาวโลกว่าเยอรมนีจะบุกเชคโกสโลวักเกีย  แต่ฮิตเลอร์ก็คิดไว้แล้วและยอมถอยไปก่อน  ส่วนฝ่ายอังกฤษกับฝรั่งเศสก็ได้ใจคิดว่าฮิตเลอร์กลัว


 

เชคโกสโลวักเกีย ยอมยกซูเดเตน

แม้ว่าฮิตเลอร์จะรู้ว่าอังกฤษไม่กล้าทำสงครามตอนนี้หรอก  แต่ฮิตเลอร์ก็ยังไม่ต้องการทำสงครามตอนนี้เหมือนกัน

ทั้ง 2 ฝ่ายก็เลยตกลงกัน ด้วยการที่อังกฤษ และฝรั่งเศส บังคับให้เชคโกสโลวักเกียมอบดินแดนที่เต็มไปด้วยแหล่งถ่านหิน แหล่งพลังงาน แหล่งเคมี แหล่งแร่เหล็ก ให้กับเยอรมนี


 

เยอรมนีบุกเชคโกสโลวักเกีย

แต่ปีถัดมา ในที่สุดฮิตเลอร์ก็บุคเชคโกสโลวักเกียจนได้ โดยไม่มีประเทศไหนช่วยเลย  ฮิตเลอร์ยึดโบฮีเมีย โมราเวีย

และสุดท้ายก็ตีเข้ากรุงปรากสำเร็จ ยึดปราสาทปรากมาเป็นที่พำนักของตนเอง ตามด้วยลงมายึดสโลวาเกียได้ด้วยกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม


 

อเมริกาขู่เยอรมนี

ทุกประเทศเริ่มร้อนๆหนาวๆว่าสงครามกำลังจะเกิด  แม้แต่อเมริกายังทำทีออกมาปรามว่า ให้ฮิตเลอร์รับประกันว่าจะไม่รุกรานดินแดนอื่นๆอีก (โอ้วโหว…พ่อทุกสถาบันรึไง)

ฮิตเลอร์โต้กลับ

ฮิตเลอร์ก็ตอบด้วยประโยคเด็ดแห่งยุคเลยก็ว่าได้ว่า “อเมริกามีประชากรมากกว่าเยอรมนีแค่ 1 ใน 3 แต่มีพื้นที่มากกว่าเยอรมนีถึง 15 เท่า แล้วพื้นที่พวกนี้ ไม่ใช่ว่ามาจากการทำสงครามแย่งชิงเขามาเหรอ”


 

ฮิตเลอร์จ้องฮุบโปแลนด์ต่อ

และเป้าหมายถัดไปของฮิตเลอร์ก็คือ “โปแลนด์”  เพราะแต่เดิมเขตดานซิกซึ่งเป็นของเยอรมนีมาก่อน

แต่ตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์สั่งให้เยอรมนีต้องเปิดให้เป็นพื้นที่เปิด เยอรมนีและโปแลนด์มีสิทธิเท่าเทียมกัน

ตอนนี้ฮิตเลอร์จึงเรียกร้องให้โปแลนด์คืนดานซิกมา (ซึ่งก็โดนปฏิเสธอยู่แล้วล่ะ)


 

ฮิตเลอร์รอจังหวะ

โปแลนด์ยืนยันว่าตนเองจะสู้ และมั่นใจว่าอังกฤษจะเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน  ฮิตเลอร์ถ้าจะบุกโปแลนด์ก็คงเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถ้ามีอังกฤษเข้ามายุ่งก็ไม่ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้ แต่ไม่อยากเสียกำลังพลไปโดยใช่เหตุ

ฮิตเลอร์พยายามตกลงกับรัสเซีย และอิตาลี ว่าจะไม่รุกรานกัน (เพื่อให้ฮิตเลอร์ทุ่มเทเวลาไปกับยึดโปแลนด์อย่างเดียว) พอสำเร็จแล้วก็ค่อยไปตกลงกับอังกฤษอีกที ว่าจะไม่เข้ามายุ่ง แลกกับการจำกัดการเติบโตทางทหารของตน (ใครจะเชื่อ)

แต่ระหว่างนั้นอังกฤษก็ได้ทำสัญญากับโปแลนด์แล้วว่าจะช่วยโปแลนด์หากเยอรมนีรุกราน

เรื่องนี้ทำให้ฮิตเลอร์เครียดมาก  ไม่ใช่เครียดเพราะกลัวโปแลนด์ และอังกฤษ แต่เครียดเพราะไม่อยากให้มีการสูญเสีย  ฮิตเลอร์ตั้งใจว่าจะครอบครองทั่วยุโรปโดยเกิดการสูญเสียให้น้อยที่สุด


 

ฮิตเลอร์ประกาศจะบุกโปแลนด์

ฮิตเลอร์พยายามหาวิธี คิดแผนการต่างๆ ดำเนินการทางการเมือง เจรจา มากกว่าจะใช้กำลัง การสงครามต้องเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาจะทำ  แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้

จนสุดท้ายด้วยความที่ฮิตเลอร์คิดว่าอังกฤษไม่กล้าทำสงครามตอนนี้หรอก  อีกทั้งก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว นอกจากต้องทำสงคราม

และได้ประกาศวันบุกให้รับรู้กันถ้วนหน้าแล้วด้วย  เพื่อหวังว่าโปแลนด์จะยอมแพ้ซะโดยดี  แต่โปแลนด์ต้องการสู้ตาย และมั่นใจว่าอังกฤษจะมาช่วยอย่างแน่นอน

ในที่สุดก็ถึงวันบุก  ด้วยประสิทธิภาพของอาวุธที่ต่างกันอย่างลิบลับ  ทำให้โปแลนด์ถูกกวาดล้างอย่างง่ายดาย (โดยที่อังกฤษไม่ได้มาช่วยในทันที)


 

อังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมนี

แต่ภายใน 2 วัน หลังจากเยอรมนีบุกโปแลนด์ อังกฤษก็ได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีอย่างจริงจังแล้ว

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่2  แม้ว่าฮิตเลอร์จะผิดคาดไปเยอะนึกว่าอังกฤษจะไม่กล้า แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วหากต้องทำสงครามใหญ่จริงๆ


 

สงครามโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร

ย้อนความไปสมัยกำเนิดเยอรมนี ช่วงค.ศ.800 จริงๆยังไม่ใช่ประเทศเยอรมนี  แต่เป็นแคว้นต่างๆที่ไม่ได้มีการแบ่งเขตกันอย่างเป็นทางการ จนมีคนตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ออกสู้รบขยายดินแดนไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งถึงค.ศ.1871 เยอรมนีได้รวมแค้วนเล็กๆเข้าเป็นจักรวรรดิ โดยมีกษัตริย์วิลเฮล์มที่1 เป็นประมุข และได้แต่งตั้ง ออตโต ฟอน บิสมาร์ค ขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล(คล้ายๆนายกฯ)

หลังจากนั้นเยอรมนีก็เติบโตอย่างรวดเร็ว วิทยาการล้ำหน้าในทุกๆด้าน จนถึงขั้นก่อสงครามโลกครั้งที่1ขึ้นมา


 

สงครามโลกครั้งที่1(ค.ศ.1914-1918)

ยุคนั้นหลังจากมีการปฏิวัติฝรั่งเศส ระบอบกษัตริย์ถูกล้ม ประเทศต่างๆก็เอามั่ง ทำให้มีกระแสล้มเจ้าขึ้นมา  มีการลอบฆ่าเชื้อพระวงศ์กันหลายแห่ง รวมถึงเยอรมนีและออสเตรียด้วย

รัสเซีย และ เยอรมนี เปิดศึก

แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะ รัชทายาทออสเตรียถูกลอบสังหารที่เซอร์เบีย ซึ่งรัสเซียหนุนหลังเซอร์เบียอยู่(เซอร์เบียเป็นเด็กในสังกัดรัสเซีย) และออสเตรียก็เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี (ออสเตรียเป็นเด็กในสังกัดเยอรมนี) ก็เลยเกิดสงครามขึ้นระหว่างเยอรมนี และรัสเซีย

ประเทศมหาอำนาจต่างก็อยากได้ประเทศอื่น

จริงๆแล้วสงครามที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เพราะจะแก้แค้นให้ออสเตรียหรอก  แต่มันคือข้ออ้างที่เยอรมนีสบโอกาสที่จ้องจะแสดงแสนยานุภาพอยู่แล้วต่างหาก  ถ้าชนะก็จะได้รวบออสเตรียและฮังการีมาเป็นของเยอรมนีอย่างเต็มตัวและชอบธรรม รวมถึงรัสเซียและประเทศอื่นๆข้างเคียงด้วย

อังกฤษขอเข้าร่วม

และเนื่องจากอังกฤษและฝรั่งเศสก็จ้องอยากจะกำจัดเยอรมนีอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆจะเริ่มบุกก่อน ก็เดี๋ยวจะโดนชาวโลกหาว่าก่อสงคราม ในเมื่อเยอรมนีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ก็เข้าทางเลยรีบเสนอตัวขอเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย โดยจะช่วยรัสเซียรบกับเยอรมนี

รัสเซียถอนตัว

แต่ยังไม่ทันจบสงครามโลกครั้งที่1 รัสเซียก็ขอถอนตัวกลางคัน เพราะมีปัญาภายในประเทศ  ช่วงนั้นเลนินได้ทำการโค่นล้มกษัตริย์พระเจ้าซาร์ และตั้งรัสเซียเป็นสาธารณรัฐ และนั่นนก็คือจุดเริ่มต้นของลัทธิคอมมิวนิสต์

อเมริกาเข้าร่วม

แต่อเมริกาเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ถ้าปล่อยไปแบบนี้เยอรมนีอาจจะชนะก็ได้ ก็เลยเข้าร่วมช่วยรบกับเยอรมนีอีกแรง  ทำให้ในที่สุดเยอรมนีก็พ่ายแพ้สงคราม

ร่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์

ฝ่ายพันธมิตร (อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา) ก็ได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นสัญญาบีบคั้นเยอรมนีไม่ให้ได้ผุดได้เกิดกันเลย และตั้งแต่นั้นก็เป็นการจบสิ้นระบอบกษัตริย์ของเยอรมนีอีกด้วย

เยอรมนีตกต่ำ ฮิตเลอร์เฟื่องฟู

เศรษฐกิจเยอรมนีตกต่ำ ประชาชนแทบจะอดตาย กล่าวโทษรัฐบาล และก่อจราจล  และฮิตเลอร์คือผู้นำเยอรมนีที่ช่วยชุบชีวิตชาวเยอรมันขึ้นมาใหม่ ทำให้เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเยอรมนีกลับขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้ง  จนกล้าเปิดศึกและนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่2ในที่สุด


 

สงครามโลกครั้งที่2 แบ่งเป็น 4 ระยะ

ระยะที่ 1 (ค.ศ.1939-1940)

เยอรมนีบุกโปแลนด์ และเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าโปแลนด์จะต่อสู้อย่างเต็มที่  แต่รัสเซียซึ่งตอนนั้นกลายเป็นสหภาพโซเวียตได้เข้ามารุกรานเขตโปแลนด์ซ้ำอีก  ทำให้ตอนนี้โปแลนด์ถูกแบ่งเป็นสองฝั่งให้เยอรมนี และสหภาพโซเวียต

อีก 5 เดือนต่อมาเยอรมนีก็เข้ายึดสวีเดนเพื่อต้องการขนส่งเหล็กจากสวีเดน และยึดนอร์เวย์เพื่อความปลอดภัยไม่ให้มาช่วยสวีเดนง่ายๆ เพราะประเทศติดกัน

2 เดือนต่อมาเยอรมนีก็บุกฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม เพียงแค่เดือนเดียวเยอรมนีก็ยึดเนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยมได้แล้ว

อิตาลีซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายเยอรมนี ก็เข้าตีซ้ำฝรั่งเศสจากอีกด้าน เพียงแค่12วันฝรั่งเศสก็ยอมแพ้ และถูกแบ่งให้เยอรมนีและอิตาลี

แม้ว่าเยอรมนีจะได้ทรัพยากรมากขึ้น และโดดเดี่ยวศัตรูได้เหลือแต่อังกฤษแล้ว แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะอังกฤษมีอาณานิคมมากมาย ทำให้มีการรบในประเทศอื่นๆอยู่ทั่วโลก (ยกเว้นอเมริกา) บางที่เยอรมนีถึงกับต้องแพ้ยอมถอยร่นออกมาอีก เหมือนทำให้เยอรมนีพะว้าพะวงหลังอยู่ตลอดเวลา

 

ช่วงที่ 2 (ค.ศ.1941-1942)

เนื่องจากสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ซี่งเสมือนเป็นก้างขวางคออยู่ ทำให้เยอรมนีและกลุ่มอักษะ(อิตาลี และญี่ปุ่น) หันไปร่วมกันโจมตีสหภาพโซเวียต เพื่อทำลายคอมมิวนิสต์ สร้างที่อยู่อาศัย และยึดทรัพยากร

แม้จะสร้างความเสียหายให้กับสหภาพโซเวียต แต่ก็ไม่ถึงขั้นยึดได้อย่างเด็ดขาด   เพราะเยอรมนีต้องแบ่งกำลังไปรบที่ยูเครนและเลนินกราดด้วย

อังกฤษได้จับมือกับสหภาพโซเวียตชั่วคราวเพื่อยึดอิหร่านสำหรับเป็นฉนวนเปอร์เซีย และแหล่งน้ำมัน และต่อมาก็สามารถตียึดดินแดนที่เคยถูกยึดโดยกองทัพฝ่ายอักษะกลับคืนมาได้ทั้งหมด (กลับคืนเข้าปากอังกฤษนะ เหมือนเปลี่ยนมือ แย่งกันไปมามากกว่า)

ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในฝ่ายอักษะ ได้กลายเป็นมหาอำนาจในคาบสมุทรอินโดจีนไปแล้ว และญี่ปุ่นก็สามารถเอาชนะดัตช์ยึดอินโดนีเซียและหมู่เกาะต่างๆซึ่งเป็นของดัตช์ และยังเอาชนะจีนได้อีกด้วย

แต่เนื่องจากญี่ปุ่นจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันจากอเมริกา เมื่ออเมริกาปฏิเสธที่จะหยุดส่งน้ำมันให้ ก็เหมือนแปลว่าจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นถ้าญี่ปุ่นยังไม่ยอมถอนตัวจากสงครามนี้

มีหรือที่ญี่ปุ่นจะยอมง่ายๆ แถมยังเตรียมวางแผนโจมตีกองทัพอเมริกาอีกด้วย

ด้านเยอรมนีที่ยังไม่สามารถเจาะมอสโกเมืองหลวงของสหภาพโซเวียตได้ซักที  ตอนแรกที่ตั้งใจจะบุกอย่างสายฟ้าแลบก็ต้องยุติลง  เพียงเพราะในฤดูหนาวของสหภาพโซเวียตจะหนาวอย่างโหดร้ายจริงๆ

หลังจากต้องถอยจากสหภาพโซเวียต ด้านญี่ปุ่นก็เลยหันไปโจมตีดินแดนอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เอเซียอาคเนย์ ประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง(รอบๆไทย) รวมถึงอเมริกาอีกด้วย

ตอนนี้ฝ่ายอักษะดูเหมือนจะได้รับชัยชนะไปเกือบทั่วทั้งยุโรป เอเซีย และแอฟริกาแล้ว

แต่จุดเปลี่ยนมันเริ่มตรงที่ญี่ปุ่นดันไปโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ของอเมริกา(อยู่ที่ฮาวาย) ทำให้อเมริกาประกาศเข้าร่วมสงครามครั้งนี้อย่างเต็มตัว

 

ช่วงที่ 3  (ค.ศ.1942-1943)

เป็นช่วงที่ฝ่ายอักษะเริ่มมีการพ่ายแพ้สงครามครั้งสำคัญ ถึง 3 ครั้งคือ

  1. อเมริกาใช้กลยุทธที่ดีในการทำลายเรือบรรทุกเครื่องบิน และเครื่องบินของฝ่ายญี่ปุ่นลงได้ แม้อเมริกาจะใช้จำนวนเครื่องบินปริมาณน้อยกว่าก็ตาม ทำให้ญี่ปุ่นอ่อนกำลังลงและสูญเสียเครื่องบินไปเป็นจำนวนมาก ก็เลยหันไปรบบนบก และใช้เรือแทน
  2. อังกฤษสามารถป้องกันอียิปต์และคลองสุเอช ซึ่งเป็นจุดขนย้ายกองกำลังของฝ่ายอักษะ ทำให้เยอรมนีและอิตาลีถูกขับไล่ออกจากแอฟริกาเหนือ ต้องสูญเสียทรัพยากร และทหารจำนวนมาก ส่งผลถึงแนวรบกับสหภาพโซเวียต
  3. เนื่องจากหน้าหนาวในสหภาพโซเวียตเลวร้ายมาก เส้นทางส่งเสบียงถูกหิมะถล่ม กองทัพเยอรมนีกว่าแสนคนถอยกลับไม่ได้ จึงต้องยอมแพ้ เป็นจุดพินาศของกองทัพเยอรมนีอย่างแท้จริงแล้ว

 

ช่วงที่ 4 (ค.ศ.1943-1945)

เริ่มจากอิตาลีพ่ายแพ้ต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร มุสโสลินี(ผู้นำอิตาลี)ถูกจับ  ฮิตเลอร์ส่งกองทัพเข้าไปช่วยมุสโสลินี ทำลายอำนาจทหารของอิตาลีทั้งหมด แล้วตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีขึ้นที่กรุงโรม  โดยสร้างแนวกั้นหลายด่านอย่างแน่นหนา

แต่ในที่สุดกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรก็ทะลวงเข้าไปได้แม้จะด้วยความยากเย็นก็ตาม ทำให้กองทัพเยอรมนีต้องถอยร่นออกไป

การรบด้านทะเลของเยอรมนีก็ถูกทำลายสูญเสียอย่างต่อเนื่อง   ส่วนการรบทางสหภาพโซเวียต  เยอรมนีก็ถูกตีกลับได้อีก

ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มีการประชุมครั้งใหญ่เพื่อเดินหน้าเต็มที่ในการจบสงครามนี้ให้เร็วที่สุด ในขณะที่มีการจราจลทั่วยุโรป ในเมืองที่เยอรมนียึดมา อีกทั้งกองกำลังของเยอรมนีก็ถดถอยลงมาก ร่วมกับการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรช่วยหนุนหลัง ทำให้เยอรมนีสูญเสียเมืองในครอบครองบางแห่งไป และเมืองต่างๆก็หันไปเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรอีกด้วย

ส่วนด้านญี่ปุ่นแม้ว่าจะมีชัยเหนือจีนหลายครั้ง แต่ก็ถูกอเมริกาถล่มหลายแห่ง

เยอรมนีตอนนี้เหมือนบ้านกำลังถูกน้ำท่วม  เจอฆ่าศึกทุกทิศทาง ตะวันตกก็เจออังกฤษ ตะวันออกก็เจอสหภาพโซเวียต


เบอร์ลินถูกเจาะ

แต่สุดท้ายเยอรมนีก็ทานกำลังไม่ไหว เมืองหลวงเบอร์ลินถูกเจาะเข้าถึงใจกลางกองทัพ

ทหารเริ่มหนีทัพ ทิ้งค่าย แต่ฮิตเลอร์พยายามสู้ทุกวิถีทาง ฮิตเลอร์เกลียดคนทรยศที่สุด กรีดร้องด่ากราด และประนามพวกที่ทอดทิ้งเขาอย่างบ้าคลั่ง

ผู้ที่ยังติดตามฮิตเลอร์อยู่ก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฮิตเลอร์ไปหลบภัยที่ Berchtesgaden ก่อน แต่เขาก็เลือกที่จะไม่หนี แถมยังอนุญาติให้คนรอบข้างหนีไปได้หากไม่อยากอยู่ (ก่อนหน้านี้ยังด่าอยู่เลย)

แต่ผู้ที่รักและศรัทธาในตัวฮิตเลอร์ก็มีอยู่มากมาย และพร้อมจะตายพร้อมๆกันโดยไม่หนีไปไหน

 

ฮิตเลอร์ยิงตัวตาย

ฮิตเลอร์ยิงตัวตายหลังยื่นยาพิษฆ่าตัวตายให้ภรรยา (อีวา บราวน์) หลังแต่งงานกันเพียง2วัน ในหลุมหลบภัย ที่เบอร์ลิน

หลังจากนั้นคนสนิทก็เอาน้ำมันมาราดเพื่อเผาร่างฮิตเลอร์และภรรยา ไม่ให้ถูกนำไปประจาน และไม่ให้รู้ว่าฮิตเลอร์ตายแล้วจริงๆ

เพราะหากไม่ทำแบบนี้ก็ต้องถูกจับ และถูกฆ่าอย่างไร้ศักดิ์ศรีเหมือนมุสโสลินี ผู้นำอิตาลี ที่ถูกยิงเป้าแล้วจับแขวนห้อยหัวประจาน

ทว่าเรื่องราวการตายของฮิตเลอร์ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันว่าตายจริง หรือหลบหนีไปได้  เพราะไม่มีใครพบร่างเขาอีกเลย


 

ฮิตเลอร์ ผู้นำ 2 ด้าน

แม้ว่าฮิตเลอร์จะสามารถเปลี่ยนแปลงเยอรมนีจากประเทศแพ้สงครามที่อดอยาก เศรษฐกิจย่ำแย่ จนกลายมาเป็นชาติมหาอำนาจ

แต่เขาก็ได้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวถึง 6 ล้านคน และผู้บริสุทธิ์อีกกว่า5 ล้านคน ยังไม่นับถึงคนที่ถูกทรมานก่อนฆ่าอีก

ดูเหมือนจะโหดร้าย แต่นั่นคือลัทธิความเชื่อหนึ่ง บนพื้นฐานของความตั้งใจสร้างประเทศตัวเองให้ยิ่งใหญ่

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประชาชนเยอรมนีทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย มีการลอบสังหารฮิตเลอร์หลายต่อหลายครั้ง  แต่ทั้งดวง และความฉลาดของฮิตเลอร์ทำให้รอดพันมาได้


 

นิสัยส่วนตัวของฮิตเลอร์

  1. แพทย์ประจำตัวฮิตเลอร์ยืนยันว่า ฮิตเลอร์ไม่ได้เห็นคนโมโหร้าย เพียงแต่ถ้ามีใครเถียงข้างๆคูๆ เขาจะตะเบ็งเสียงกลบหมด
  2. ฮิตเลอร์ชอบศิลปะ ยังเคยคิดจะตกแต่เมืองให้เป็นเมืองในฝัน ชอบสะสมงานศิลปะ (แต่มักเป็นของที่ยึดเขามา) เขาเป็นคนออกแบบเครื่องแบบต่างๆ และชอบวาดรูปสถานที่ที่ได้ไปเห็น ชอบฟังเพลงจากแผ่นเสียงมากกว่าวิทยุ ศิลปินที่ฮิตเลอร์ยกให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาดนตรีก็คือ วากเนอร์
  3. ฮิตเลอร์ชอบศึกษาเกี่ยวกับเครื่องยนต์ แต่ไม่ชอบขับรถเอง
  4. ฮิตเลอร์ชอบจูบมือผู้หญิง (เป็นมารยาทแบบชาวเวียนนา)
  5. ฮิตเลอร์ชอบพูดหวานกับเลขา เวลาป่วยก็ไปเยี่ยม
  6. ฮิตเลอร์รักความสะอาดมาก เขาอาบน้ำวันละหลายๆรอบ ขนาดลูกสุนัขยังต้องไปล้างมือทุกครั้ง รวมถึงการแปรงฟัน ล้างมือหลังอาหารทุกครั้งด้วย
  7. ฮิตเลอร์ชอบอ่านหนังสือ และมีความจำที่เยี่ยมมาก ถึงกับมีห้องสมุดส่วนตัว มีหนังสือกว่า 16,000 เล่ม
  8. ฮิตเลอร์พูดคำนั้นคำนั้น เขาบอกว่าจะฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ทันทีเมื่อขึ้นเป็นผู้นำ และเขาก็ทำจริงๆ
  9. ฮิตเลอร์รักสันโดษ ติดดิน กินอาหารมังสวิรัติ เหมือนสามัญชน แบบกรรมกร บ้านเล็กๆธรรมดาๆ (ยกเว้นบ้านที่ Berchtesgaden ซึ่งมีลิฟท์หุ้มเกราะถึง 16 ตัว โดยใช้ที่นั่นเป็นที่ประชุมลับ และหลบภัย)

 

สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้

  • เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
  • GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
  • กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide

ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ


3 thoughts on “ฮิตเลอร์ กับสงครามโลก”

  1. มีเรื่องตลกเรื่องนึงน่ะครับ ที่บอกว่า ตอนนึงที่ฮิตเลอร์กำลังกินเบียร์อยู่ที่โรงเบียร์ ฮอฟ บรอย เฮาส์ เเล้วก็นึกขึ้นได้ว่า อืม จูเลียทำชูครีมใว้ กลับไปกินดีกว่า (ซึ่งฮิตเลอร์ ชอบกิน โยเกิร์ต กับ ชูครีม มากกกกก ) เลยเอาเบียร์กลับบ้าน ขณะที่กำลังลุก ก็มีสายลับอังกฤษคนนึงมาวางระเบิด เเต่พอระเบิดทำงาน รถของฮิตเลอร์ก็ออกไปเเล้ว เเถมฮิตเลอร์ยังได้กินชูครีมสมใจอยากอีกต่างหาก 555

  2. ความจริงเท่าที่ทราบฮิตเลอร์กินมังก่อนที่หลานจะตายค่ะ เขาบอกเสมอว่ามันทำให้เขาไม่สบายท้อง จากการวิเคราะของหนังสือบอกว่าเพราะเขากลัวจะเป็นมะเร็งเหมือนแม่ค่ะ ฮิตเลอร์ไม่ได้บังคับให้เจลิสฆ่าตัวตายค่ะ มีรายงานหลังจากที่หลานของฮิตเลอร์ตายว่าฮิตเลอร์ไปพบจิตแพย์แล้วเล่าว่า เขารู้มาว่าเจลิสแอบมีความสัมพันธ์กับทหารของเขา เขาเลยขอให้เจลีสมีเซ็กแบบพิสดารกับตัวเอง เขากลัวว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เจลิสฆ่าตัวตายค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.