เที่ยวยุโรป SS1 D4 เที่ยว Wurzburg

เที่ยวยุโรป SS1 D4 เที่ยว Wurzburg

ความเดิมตอนที่แล้ว เที่ยวยุโรป SS1 D3 Heidelberg

วันนี้เราจะออกจากแฟรงค์เฟิร์ท เพื่อไปต่อยังเมืองเวือร์ซบูร์ก (Wurzburg) ด้วยรถบัส Flixbus ด้วยราคาเพียงคนละ 9 ยูโรเท่านั้น  และคืนนี้เราก็จะค้างกันที่ Wurzburg 1 คืนค่ะ


 

จุดขึ้น Flixbus
จุดขึ้น Flixbus ที่แฟรงค์เฟิร์ท ถ้าเดินไปทางซ้ายบน 3นาที ก็ถึง Hbf แล้วค่ะ

นั่ง Flixbus ไป Wurzburg

วันนี้เป็นวันเดินทางแบบสบายๆ ไม่รีบร้อนค่ะ  เพราะจองรอบรถไว้ 9.30 น.  และจะไปถึง Wurzburg 11.10 น.

Flixbus เขาใจดีให้โหลดกระเป๋าได้ถึงคนละ 2 ใบ ใบละ 30 กก.อีกด้วย

วิธีขึ้นก็ไม่ยากค่ะ แค่เอา QR code ไปให้เขาแสกน หรือบางคันก็ถามแค่ชื่อ หรือเราจะปริ๊นท์ใบคอนเฟิร์มเป็นกระดาษไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นสถานีหลักๆอย่างมิวนิค หรือเวียนนา ก็จะให้โชว์พาสปอร์ตด้วยค่ะ

Flixbus ที่ Wurzburg Hbf
จุดจอด Flixbus ที่ Wurzburg ถ้าหันหลังก็จะเจอ Hbf แล้วค่ะ

ส่วนจุดจอดส่วนใหญ่ ก็จะจอดใกล้ Hbf ของทุกเมืองนะคะ (ไม่ทุกเมืองนะ แต่ก็ใกล้สถานีรถไฟค่ะ)  สำหรับที่ Wurzburg ก็จะจอดที่ Wurzburg Hbf เลยค่ะ


Wurzburg Hbf
ตึกข้างหลังบ้านนกก็คือ Wurzburg Hbf

ถึงแล้ว… Wurzburg

พวกเราต้องลากกระเป๋าหาโรงแรมกันก่อน วันนี้ไกลหน่อยแต่ระหว่างทางบรรยากาศน่าอยู่มาก สงบ เรียบร้อย สวย มีสวนสาธารณะ อากาศก็ดี ยังคิดอยู่ว่าคนเขาไปไหนกันหมด

ไม่ได้หลงเข้าข้างเมืองนอกนะ  แต่มันดีจริงๆค่ะ  คุณภาพชีวิตแบบนี้ใครไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่อินหรอกค่ะ  เพราะก่อนมาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน

Ibis Wurzburg City
เห็นโรงแรมของเราอยู่ไกลๆนู่นแล้วค่ะ Ibis Wurzburg City

ประวัติเมือง Wurzburg

เมืองนี้เป็นเมืองที่ปกครองด้วยพระ (Prince-bishops) ไม่มีกษัตริย์  ทั่วทั้งเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนักกว่า 90% จากการถูกทิ้งระเบิด นานกว่า 20 นาที ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ปีค.ศ.1945

ไม่ว่าจะเป็น Wurzburg Hbf บ้านเรือนต่างๆ รวมถึง Wurzburg residence ก็ถูกทำลายไปด้วยค่ะ

คือที่ตกใจมากก็ตอนที่เห็นภาพเมือง และวัง ถูกระเบิดลง แบบเรียกว่า “ราบเป็นหน้ากลอง” ก็เพิ่งเข้าใจนี่แหล่ะค่ะ

คือราบเรียบจริงๆค่ะ ไม่เหลืออะไรเลย คิดถึงสภาพบ้านเรือนทั้งเมืองนะคะ ไม่ใช่แค่จุดๆเดียว แต่คือ“ทั้งเมือง” ค่ะ มันพังหมดเลย  ดำไปหมด ของใช้ไม่ต้องพูดถึง คืออยู่ไม่ได้อ่ะค่ะ

ดังนั้นสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่เราเห็นเกือบทั้งหมด ก็จะเป็นอาคารที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ แต่ยังคงอนุรักษ์ให้ศิลปะเป็นแบบเดิมอยู่

นี่คือเรื่องที่สร้างความ “น่าทึ่ง” สำหรับพวกเรามากค่ะ  เพราะประเทศผู้แพ้สงคราม ทั้งประเทศถูกถล่มหมด ไม่ใช่แค่เมืองเดียวนะ คือเกือบทั่วประเทศนะ  ไหนจะต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ไหนจะเรื่องปากท้องประชาชน

ทำไมมีกระจิกกระใจมาสร้างบ้านให้เหมือนเดิมอยู่  ทำไมไม่สร้างแบบง่ายๆ ตึกแถวอะไรอย่างนี้  รักษาศิลปะ ปฏิมากรรม มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ แถมก็ไม่ใช่ถูกๆ

แม้ว่าหลังสงคราม กองทัพอเมริกันก็ได้เข้ามาช่วยบูรณะซ่อมแซม และเข้ามาอาศัยอยู่เยอะมาก จึงทำให้บ้านเรือนอาจมีลักษณะแบบอเมริกาบ้าง  แต่หลังจากปี 2006 กองทัพอเมริกันได้ย้ายออกไปแล้วค่ะ


 

เที่ยวเยอรมัน-40

เดินหา Wurzburg residence

กว่าจะได้เริ่มต้นเที่ยว ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ก็เลยรีบตรงไปที่ Wurzburg residence ทันที

ระหว่างทางเดินก็ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ และพูดได้เต็มปากเลยว่า “นี่แหล่ะ…ยุโรปในจินตนาการ” ทางเดิน ถนน ตึกรามบ้านช่อง ผู้คน  “โอ๊ย…เหมือนในหนังอ่ะ”  ชอบมากๆค่ะเมืองนี้ เสียดายแค่อย่างเดียวคือ “ได้เที่ยวแค่ครึ่งวันเอง”

ก็ตอนวางแผนคิดว่า เราเดินทางออกจากบ้าน ต่อเครื่อง ขึ้นเครื่อง กว่าจะมาถึงแฟรงค์เฟิร์ท รุ่งขึ้นก็เที่ยวไฮเดลเบิร์กแบบเต็มที่อีก  งั้นวันนี้ขอพักผ่อนซักวันละกัน

คิดว่า Wurzburg ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ คงไม่ค่อยมีอะไรหรอก แค่วังอย่างเดียวกับเดินเล่นนิดๆหน่อยๆก็คงหมด

นี่อะไรกัน ทำไมๆๆๆๆ อยากให้กลางวันยาวขึ้นสองเท่าเลยค่ะ  แถมวันนี้ยังมีฝนอีกด้วย พระเจ้าคงอยากให้เราพักผ่อนจริงๆใช่มั้ย


 

Wurzburg Residence
Wurzburg Residence

Wurzburg Residence  UNESCO’s World Heritage

เป็นหนึ่งในวังสไตล์Baroque ที่สำคัญที่สุดที่หนึ่งของยุโรป

ก่อตั้งในสมัย Price-Bishop Johann Philipp Franz von Schönborn

เริ่มสร้างเมื่อปี1720 แล้วก็ค่อยๆสร้างห้องนู้นห้องนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับการผลัดเปลี่ยนของ Prince-Bishop  จนไปสิ้นสุดที่ปี1781  โดยมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งสิ้น 1.5 ล้าน florins  ซึ่งถือว่าแพงมาก

อย่างที่เล่าข้างต้นว่าพระราชวังเวิร์ซบวร์ก ถูกทำลายไปจนแทบไม่เหลือจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ดังนั้นพระราชวังที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน  คือของใหม่ที่สร้างให้เหมือนเก่า ซึ่งใช้เงินไปราว 20 ล้านยูโร (นึกจากค่าเงินสมัยนั้น ถือว่ามากโขอยู่นะคะ)

พระราชวังแห่งนี้  มีชื่อเสียงว่าใหญ่ที่สุดในโลก  ด้วยจำนวนห้องถึง 300 ห้อง  ห้องส่วน wings อีกมากกว่า 3 ส่วน  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของ Prince-bishops นั่นเอง

ห้ามถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ  ถ้าถ่ายก็ต้องเก็บไว้ดูคนเดียว ห้ามนำออกสู่สาธารณะ  , ห้ามแบกกระเป๋าใบใหญ่ จะมีล็อคเกอร์ให้เก็บฟรีค่ะ

ในเวปเขียนว่า ต้องมีไกด์พาชมเท่านั้น  ไกด์ภาษาอังกฤษมี 3 รอบ 11.00 , 13.30 , 15.00 (ช่วง เม.ย.-ต.ค.เพิ่มรอบ 16.30)

ตอนไปจริง เราก็นึกว่าต้องรอไกด์รอบถัดไป  เพราะเห็นกลุ่มนึงที่มีไกด์พูดอยู่(อาจจะเป็นทัวร์)  ก็เลยไปถามคนดูแล ก็ได้ความว่า เข้าชมได้เลย ไม่มีไกด์ค่ะ

ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Three Musketeers ก็อาจจะจำฉากหลายๆฉากได้ โดยเฉพาะฉากด้านหน้าที่ของจริงค่อนข้างต่างจากในหนังนะ

ค่าเข้า 7.5 ยูโร

ตั๋วที่ใช้วันนี้ 14 days ticket  ราคา 44 ยูโรต่อสองคน (ราคาปี2016)


 

สรุปความประทับใจที่ Wurzburg residence

1.  ให้คะแนน 9/10 ค่ะ ที่ให้ไม่เต็มไม่ใช่เพราะไม่ดีนะคะ เพียงแค่ยังไม่ถึงขั้นแตะหัวใจให้ตื่นเต้นแบบพีคๆได้แค่นั้นเองค่ะ

2.  ห้องเยอะมาก คนเข้าชมไม่เยอะ พวกเราใช้เวลาเข้าชมประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ เดินแบบเก็บรายละเอียดกลางๆ (แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ แหะๆ)

3.  ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยถ้าจะจ่ายค่าเข้า 7.5 ยูโร (~300 บาท) พูดแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะว่า “สมควรเข้าอย่างแรง”  ยิ่งใครใช้ตั๋วเข้าปราสาทแบบเรา ก็ต้องห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ


 

เที่ยวเยอรมัน-45
สะพานเก่าที่ Wurzburg

Alte Mainbrücke (Old Main Bridge)

คำว่า Alte แปลว่า “เก่า”  brücke แปลว่า “สะพาน” ดังนั้นเราจะได้ยินชื่อนี้ไปซะเกือบทุกเมืองเลยค่ะ  เพราะมันคือ “สะพานเก่า” (Old Main Bridge)

Old Main Bridge นี้สร้างมาแทนสะพานดั้งเดิม ที่มีมาตั้งแต่ปี 1133 แต่ได้ถูกทำลายไป  ก็เลยสร้างสะพานใหม่ที่ปัจจุบันเรียกว่า “สะพานเก่า” ใช้เวลาสร้างนานมากค่ะ ตั้งแต่ปี 1473-1543

ส่วนรูปปั้นที่เห็นตั้งหลายอัน เป็น Saint และ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ นั้นสร้างในภายหลังตั้งแต่ปี 1730

เที่ยวเยอรมัน-48
Old Main Bridge ที่ Wurzburg (วิวมองออกจากสะพาน)

มันเป็นบรรยากาศที่ ถ้าได้มาคนเดียวแล้วยืนเกาะกำแพงสะพาน หันหน้าออกสู่แม่น้ำ  ปล่อยใจให้ลอยไปตามเมฆ  ยืนให้นานที่สุด  อาจมีคนเข้ามาขอยืนด้วยคนก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ  ก็มันโรแมนติกสุดๆ  อากาศก็เย็นกำลังดีด้วย


เที่ยวเยอรมัน-41

เนินทางขึ้น Marienberg Fortress

สิ้นสุดสะพานข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงทางขึ้น Marienberg Fortress (Festung Marienberg) แล้วค่ะ  มีป้ายบอกอย่างชัดเจนไม่ต้องห่วงค่ะ

แต่ที่น่าห่วงมากกว่าก็คือ ที่ป้ายบอกว่าเดิน 35-40 นาทีนี่น่ะสิ  เดินทางราบยังพอไหว  แต่นี่ต้องขึ้นเนินสิคะ ยังไงมาถึงนี่แล้วไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ (แต่เดินจริงๆก็ไม่ถึง 30 นาทีหรอก)

ระหว่างทางก็จะเป็นสนามหญ้า ปูถนน ทำบันไดหิน เดินได้แบบผู้สูงอายุยังยิ้มค่ะ (แต่เราหอบ)  แต่มีช่วงนึงที่เป็นทางดินผสมหิน พอมันเปียกน้ำมันก็อาจจะเป็นโคลนนิดหน่อย(ไม่มากค่ะ)

ใครจะมาช่วงฝน ก็ลองเตรียมรองเท้ากันน้ำมาก็ดีนะคะ (แอดมินว่าฝนที่นี่ ตกได้ทุกฤดูเลยนะ)


 

วิวโบสถ์ St.Mary
วิวจาก Marienberg Fortress
วิวเมือง wurzburg
วิวจาก Marienberg Fortress
วิวจาก Marienberg Fortress
วิวจาก Marienberg Fortress

ถามว่าคุ้มมั้ยที่จะเดินขึ้นไป

ตอบแบบไม่คิดมากเลยค่ะ  คุ้มมากๆ เป็นสถานที่ที่น่าค้นหามาก  ใหญ่ เดินได้ทั้งวันค่ะ  วิวก็สวย ให้อารมณ์แบบยุคกลาง เหมือนเล่นเกมส์ภาษา

คือจริงๆตอนแรกไม่ได้วางแผนจะขึ้นมาด้วยนะคะ  แถมตอนนั้นฝนยังตกอีก  แต่ตอนอยู่ที่สะพานมองขึ้นไปที่ป้อมปราการแล้ว  “มันน่าไปมากๆค่ะ”

ขอแนะนำว่าเป็นอีกที่หนึ่งที่ต้องมาให้ได้ค่ะ (เห็นผู้สูงอายุฝรั่งก็เดินกันนะ)


เที่ยวเยอรมัน-43
Marienberg Fortress Wurzburg

Marienberg Fortress

Marienberg Fortress เป็นทั้งป้อมปราการ และเป็นที่พักของ prince-bishop ตั้งแต่ศตวรรษที่5   มีการปรับปรุง ต่อเติมมาเรื่อย และก็ผ่านศึกสงครามใหญ่ๆมาหลายครั้ง

แต่ที่หนักหนาสาหัส จนแทบจะเหลือแต่ซาก ก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  ที่ทั้งเมืองโดนระเบิดไฟ เผาไหม้เหลือแต่ซากดำๆ  ป้อมนี้ก็ไม่พ้นค่ะ

และที่เราเห็นสวยๆแบบนี้ ก็คือผลงานที่เขาสร้างขึ้นใหม่นะคะ เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1990 นี่เองค่ะ

น่าทึ่งนะคะ เห็นรูปด้านในที่เมืองทั้งเมืองแทบจะอยู่ไม่ได้  มีแต่ซาก มีแต่กำแพง หลังคาไม่มี ข้าวของทุกอย่างไหม้ดำหมด

ประเทศก็แพ้สงคราม  แต่ยังมีกระใจมาสร้างให้เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะว่าเขาเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ และศิลปะแบบดั้งเดิม

ยังเคยคิดเลยว่าถ้ายุโรปไม่มีเมืองเก่า ไม่มีปราสาท หรือวังแบบที่เห็น นักท่องเที่ยวจะอยากมากันมั้ย  คงจะเหมือนนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียที่มีธรรมชาติสวย แต่ไม่มีประวัติศาสตร์


เที่ยวเยอรมัน-42
วิวมองจากป้อมปราการ มาเรียนเบิร์ก

พิพิธภัณฑ์

ภายในตัวป้อมปราการจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่สองชั้น

ชั้นแรกเป็น Princes’ Building Museum  แสดงเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า ภาพวาด สมบัติต่างๆ  แต่ที่จำได้แม่นเลยคือ ห้องเสื้อคลุมของ prince-bishop ที่ปิดไฟซะมืดเลย

ตอนแรกนึกว่าห้ามเข้า  แต่ไม่มีอะไรกั้น มองเข้าไปดูน่ากลัว  แต่ก็แอบเดินเข้าไป  พอก้าวเท้าเข้าไปปุ๊บ ไฟก็เปิดแบบตกใจแทบตาย (ประหยัดไฟแบบนี้ หัวใจวายได้นะเนี่ยะ)

ชั้นที่สองเป็น Main-Franconian Museum  แสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของป้อมปราการและเมืองนี้


เที่ยวเยอรมัน-44
Residence Wurzburg (ตึกซ้ายบน) มองจาก Festung Marienberg

คุ้มมั้ยที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ที่ Marienberg Fortress

ราคาค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ จริงๆถือว่าไม่แพงเลยนะคะ แค่ 4.5 euro เมื่อเทียบกับสิ่งที่จัดแสดงด้านใน

และเนื่องจากพวกเราได้ซื้อ Mehrtagesticket (14 days ticket) เป็นตั๋วเข้าปราสาทและวังในเขตบาวาเรีย  ราคา 2 คน 44 ยูโร (คนเดียว 24 ยูโร)  ซึ่งได้ใช้ก่อนหน้านี้ที่เข้า Wurzburg Residence  ไปแล้ว

คิดว่าไหนๆก็ซื้อมาแล้ว ก็สามารถใช้เข้าพิพิธภัณฑ์ด้านในได้ด้วยค่ะ

ถามว่าคุ้มมั้ย ถ้าตอบแบบตรงๆต้องแบ่งเป็นสองกรณีค่ะ

กรณีต้องเสียเงิน 4.5 ยูโร แล้วเวลาน้อย ความคุ้มให้ 7/10

กรณีใช้บัตรเบ่ง 14 วัน เข้าฟรี  ทำไมจะไม่เข้าล่ะคะ

คือไม่ถึงกับเป็นที่ที่เขาเรียกว่า must see แต่ถ้ามีโอกาสก็อย่าทิ้งค่ะ

ด้านในไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ ต่อให้แอบถ่ายมา ก็อย่านำมาเผยแพร่นะคะ ควรเคารพกฏของเขาด้วยค่ะ

พวกเราใช้เวลาด้านในพิพิธภัณฑ์ได้ไม่นานหรอกค่ะ ประมาณ 30 นาที  เพราะวันนี้มีเวลาน้อย กว่าจะเดินหลงตรงสวนภายนอกปราสาท กว่าจะเดินขึ้น เดินลง ก็เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วค่ะ


 

เที่ยวเยอรมัน-49

จบจาก Marienberg Fortress พวกเราก็เดินกลับมาทางเก่า ผ่านสะพานเก่า ผ่าน City Hall หรือ “ศาลาว่าการเมือง” เยอรมันจะเรียกว่า “Rathaus” ในนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหรอก นอกจาก “ห้องน้ำฟรี”

เดินต่อไปทางโบสถ์เซ็นต์แมรี่กันค่ะ

 

เที่ยวเยอรมัน-47
Saint Mary’s Chapel

Saint Mary’s Chapel

เดินเลยมาอีกไม่ไกลจะเป็น Marienplatz มีตลาด(Marktplatz) ซึ่งเขาเก็บของกันเกือบหมดแล้วค่ะ(น่าเสียดายสุดๆ) ใครเดินถึงแถวนั้นแล้ว จะต้องเห็นโบสถ์สีขาวขอบแดงเลือดหมู สีสด โดดเด่นที่สุด แถมยังใหญ่มาก

โบสถ์สไตล์โกธิคแห่งนี้ ของเดิมเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1377 แต่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ปี 1480 (อะไรนะ…เป็นร้อยปีเลยนะ)  ที่น่าเศร้าคือ โบสถ์นี้ก็หนีไม่พ้นภัยสงคราม ศิลปะด้านในถูกทำลายกือบหมด

ชื่อโบสถ์เซนต์แมรี่ น่าจะมาจากชื่อของ “แมรี่” ที่เป็นมารดาของพระเยซู ที่ในภาษาเยอรมันเรียก “มาเรียน”

เรื่องความสวยอลังการไม่ต้องมาบรรยายค่ะ  เพราะไม่เคยเห็นโบสถ์ไหนไม่สวยเลยซักที่  แต่ถ้านึกถึงเอกลักษณ์จนทำให้พวกเราจำได้ ก็คงเป็นเรื่องของสีสันภายนอกโบสถ์ที่สด เหมือนทาสีซ้ำกันทุกเดือนเลยล่ะค่ะ


 

เที่ยวเยอรมัน-50
Mainkai Street

Mainkai Street

เดินริมแม่น้ำไมน์ ก่อนกลับโรงแรม มันเป็นบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก มีที่นั่งเยอะมาก จะนั่งเฉยๆ  นั่งกิน นั่งคุย ก็สุขใจทั้งนั้นค่ะ  มันลืมทุกอย่างได้จริงๆนะ  เสียงน้ำไหล  เสียงนกร้อง

หันซ้ายเจอป้อมปราการบนเนิน ด้านล่างเป็นสะพานเก่า มองตรงไปฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านสวยๆบนเนิน หันขวาเห็นทางน้ำไหลสุดลูกหูลูกตา  อากาศเย็นสบายๆ

เห็นคนขึ้นไปนั่งห้อยขาบนที่กั้นหิน  โอ๊ย…มันช่างมีความสุขอะไรอย่างนั้น


 

สรุปตั๋วที่ใช้เที่ยว Wurzburg

  1. Mehrtagesticket (14 days ticket) เป็นตั๋วเข้าปราสาทและวังในเขตบาวาเรีย  ราคา 2 คน 44 ยูโร
  2. Flixbus จากแฟรงค์เฟิร์ท มา เวือร์ธเบิร์ก คนละ 9 ยูโร

 

วางแผนเที่ยว Wurzburg

อ่านต่อ เที่ยวยุโรป SS1 D5 เที่ยว Rothenburg

สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้

  • เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
  • GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
  • กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide

ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.