รีวิว เที่ยวยุโรป SS1 D5 เที่ยว Rothenburg
วันนี้เราจะออกจาก Wurzburg ไป Rothenburg ob der Tauber ด้วยการจอง Flixbus ไว้ แต่ได้ขึ้นรถไฟ เอ๊ะ…ยังไง เดี๋ยวเล่าให้ฟัง และค้างโรเธนเบิร์ก 1 คืนค่ะ
ระริกระรี้ จะได้ไปเมืองในฝันแล้ว
ตั้งแต่เช้าพวกเราระริกระรี้ ปลื้มปริ่มที่จะได้ไป Rothenburg เมืองที่ขึ้นชื่อว่า “โรแมนติกสุดๆ” กันแล้ว แถมยังได้ราคาสุดถูก แค่คนละ 5 ยูโรเท่านั้น ขึ้น 8โมงครึ่งไปถึงประมาณ 10 โมง คิดไว้ว่าจะเดินให้ทั่วเล้ย
พวกเรารีบมาให้ถึงจุดขึ้นรถ ก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง เห็นรถสีเขียวของ Flixbus มาจอดผลัดเปลี่ยนไปหลายคัน ปลายทางแต่ละคันก็ไม่ได้เฉียดเลย แถมไปคนละทางทั้งนั้น
พอใกล้ถึงเวลา ก็ยังมีคันอื่นๆเข้ามา เพื่อความชัวร์ก็อุตส่าห์เข้าไปถามแล้ว ก็โดนส่ายหน้ากลับมา ก็ได้แต่รออย่างมีความหวัง คงจะมาช้า รถมันคงติด
รถมาสายเกินครึ่งชั่วโมง…แปลกหรอ
นึกถึงตอนรอรถเมล์ที่ไทยน่ะค่ะ ใครเคยรอรถเมล์เป็นชั่วโมงบ้าง กว่ามันจะมา กินบุฟเฟ่ต์เสร็จได้เลยนะ ชะเง้อมอง อะไรเขียวๆผ่านตา นี่เตรียมโบกเลยนะ กลัวไม่จอด
ควักแซนด์วิชทำเองออกมากินฆ่าเวลา จนหมดก็แล้ว เวลาล่วงเลยไปถึง 9 โมงจะครึ่งแล้ว ไม่ได้การแล้วสิ ผิดปกติแล้ว (จริงๆมันน่าจะรู้สึกผิดปกติตั้งแต่ 9 โมงแล้วนะ)
เลยเดินไปถามคนที่ยืนรอเหมือนกัน เห็นรอนานเหมือนกัน เขาบอกว่าไม่ได้จะไปโรเทนเบิร์ก แต่ถ้ารถมาสายเกินครึ่งชั่วโมง ถือว่าแปลกมาก
แปลกหรอ… ลองมารอรถบ้านชั้นสิ จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังต้องโบก แล้วก็ห้ามยืนตรงป้ายด้วยนะ ไม่งั้นไม่ได้ขึ้น)
โดนหักอก
ได้ยินดังนั้นรู้สึกเหมือนคนอกหัก นัดไว้แล้วไม่มา แล้วจะไปยังไงต่อล่ะทีนี้
Bayern ticket คือคำตอบสุดท้ายค่ะ แต่มันช่างทำใจยากจริงๆค่ะ จากที่จ่ายสองคน 10 ยูโร (จ่ายไปแล้วด้วย) ยังต้องมาจ่ายเพิ่มอีก 28 ยูโร แต่นี่คือหนทางที่ถูกที่สุดแล้วค่ะ
จริงๆซื้อตั๋วรถไฟแบบ Single trip ก็คนละ 14 ยูโร (เท่ากับ Bayern ticket เลยค่ะ ก็เลยซื้อ Bayern ticket กันเหนียวดีกว่า ไหนๆก็ราคาเท่ากันแล้ว) …ใกล้ๆแค่นี้ทำไมแพงจังก็ไม่รู้…
พวกเราตัดสินใจลากกระเป๋ากลับเข้าฐานก่อน แต่ก็ยังอาลัยอาวร เดินไป 10 เมตร ก็หันหลังไปมอง 1 ที (เผื่อจะมา…) ขนาดเข้าไปด้านในสถานีรถไฟแล้ว ยังวิ่งออกมาชะโงกดูเลย ว่ามีอะไรเขียวๆมาหรือเปล่า
ตัดใจซื้อ Bayern ticket
แต่สุดท้าย ขณะนั้นเวลา 9.30 น. ก็ตัดสินใจซื้อตั๋ว Bayern ticket แต่น่าเสียดายซ้ำสองคือ รอบรถไฟมันช่างน้อยอะไรอย่างนั้น มีแค่ชั่วโมงละ 1 รอบเท่านั้นคือ…. 9.41 น.!!!
หืม….11 นาที กับการซื้อตั๋ว ตรวจสอบตารางเวลา แถมยังต้องเดินไปทางไหน ไกลมั้ย ก็ไม่รู้ (ถ้าเป็นตอนนี้รู้ทางแล้วคงจะวิ่งทันค่ะ ไม่ค่อยไกลเท่าไหร่)
ดังนั้นพวกเราเลยตัด(สิน)ใจ ไม่รีบค่ะ แล้วรอไปรอบ 10.41 น. แทน แปลว่าเราต้องเตร็ดเตร่ที่สถานีกว่า 1 ชั่วโมง และกว่าจะไปถึงโรเทนเบิร์กก็เที่ยงกว่า
โรเทนเบิร์กที่วาดฝันไว้ ว่าจะเดินได้นานๆ กลับต้องมลายหายไปในพริบตา (ไม่เป็นไร ต้องกลับไปอีกแน่)
อย่างนี้ต้อง…เฉ่ง!
หลังจากวันนั้นก็ได้ส่งอีเมลไปสอบถามเพื่อหาความกระจ่าง ว่าตกลงเราถามคนขับไม่รู้เรื่อง หรือ มันมาสายกันแน่
คำตอบที่ได้ไม่ได้อยู่ในสมองเราเลยค่ะ “เส้นทางนั้นถูกยกเลิก ไม่ได้รับอีเมลหรือ”
อีเมลอื่นๆที่ Flixbus ส่งมาก็ได้หมดนะ ไม่ได้ก็แค่ไอ้อีเมลยกเลิกนี่แหละ อะไรจะโชคร้ายขนาดนั้น
แล้วยังไง…บอกว่ายกเลิกแล้วจบแค่นี้หรอ เงินที่จ่ายไปแล้ว จะทำยังไง ว่ามา… (จริงๆ เขียนสุภาพแบบเจี๋ยมเจี้ยมนะ)
“ทางเราจะคืนเงินค่ารถให้ หรือถ้าคุณซื้อตั๋วอื่นแทน ก็ขอให้ส่งหลักฐานมาด้วย” (ประมาณนี้)
สรุปคือ เขาบอกจะคืนเงินค่า Bayern ticket 28 ยูโร (ไอ้ 10 ยูโรนั่นไม่คืนนะ แถมไอ้ที่ทำให้เราเสียเวลาก็ไม่เกี่ยวด้วยนะ)
เฉ่ง…มาราธอน
เรื่องยังไม่จบค่ะ หลังจากที่เราส่งหลักฐานอะไรไปเรียบร้อยแล้ว (ภายในวันรุ่งขึ้น ดีนะยังเก็บตั๋วไว้) เรื่องราวก็เงียบไป เป็นอาทิตย์
ส่งอีเมลไปกระทุ้ง ก็ไม่มีอีเมลตอบกลับ สองสัปดาห์ก็ส่งไปอีก จนจวนจะจบทริปแล้วก็ส่งไปอีก อ้าว…เฮ้ย ทำไมเงียบอ่ะ
กระทั่งกลับถึงบ้านแล้ว ก็ส่งไปอีก ทีนี้ส่งไปทุกอีเมลที่หาได้เลย ประมาณ 4-5 อีเมล ใส่ตัวแดงเพิ่มขนาดอักษร (เผื่อไม่เห็น) ผ่านไปร่วมสองสัปดาห์ “ตอบกลับแล้ว!!!”
แต่บอกกลับมาว่า ต้องรอโอนคืนประมาณ 4 สัปดาห์ (คุณพระ!… ประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องใช้เวลาโอนเงินถึง 1 เดือน)
เหนื่อยเพื่อเก้าร้อยบาท
สองเดือนกว่าผ่านไป หลังจากวันที่ยืนรอรถ ก็ได้เงินโอนกลับมาแล้วค่ะ ตรงกับวัน Brexit ค่าเงินยูโรตกพอดี ฮือๆๆ…เลือกวันโอนได้..กวน…มาก
ได้คืนก็ดี ไม่ได้คืนก็ทำใจไว้นานแล้ว แต่เจ็บใจที่ได้เที่ยวโรเทนเบิร์กน้อยลงเท่านั้นเอง…ฮึ่มๆๆ
แล้วยังจะใช้บริการ Flixbus นี้อยู่มั้ย
บอกเลย…ใช้ค่ะ แหะๆ… เพราะมันถูกกว่านั่งรถไฟอ่ะ แต่คงต้องติดตามเส้นทางที่มีแค่วันละรอบ ให้ใกล้ชิดหน่อย คอยถามว่าตกลงวิ่งแน่นะ ถ้าเป็นเส้นทางที่มีหลายรอบคงไม่มีปัญหาค่ะ
ถึง Rothenburg o.b.T. แล้ว
หลังจากพลาดบัส ก็เลยซื้อ Bayern ticket จนมาถึงโรเทนเบิร์กเอาเกือบเที่ยงแน่ะ
สถานีรถไฟเป็นสถานีเล็กๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากค่ะ เงียบสงบ เดินไปเมืองเก่าไกลนิดนึง
พอผ่านกำแพงเข้ามาในเขตเมืองเก่า ภาพแรกที่เห็นคือกำแพงเมืองสีอิฐ บ้านเรือนด้านในเหมือนในการ์ตูน เหมือนเมืองตุ๊กตา เหมือนดิสนี่ย์แลนด์โซนแฟนตาซีแลนด์ ที่เราเห็นนี่คือของจริงใช่มั้ย ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตูเลยใช่มั้ย
แต่เดินเข้าไปอย่างกับเมืองร้างค่ะ ลากกระเป๋าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พื้นเป็นหินสี่เหลี่ยม มีร่องๆ บ้านสไตล์ยุคอัศวิน อื้อ…หือ อารมณ์ยุคกลางพัดเข้ามาเต็มๆ นึกว่าเป็นตัวการ์ตูนในเกมส์ได้เลยนะ
ทำความรู้จักับโรเทนเบิร์กให้มากขึ้น
ชื่อเต็มๆคือ Rothenburg ob der Tauber
Rot = Red แปลว่า สีแดง
Burg = burgh, medieval fortified settlement แปลว่า ตำบล หรือ ป้อมยุคกลาง
Tauber เป็นชื่อแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ
รวมแล้วก็แปลว่า ป้อมสีแดงเหนือแม่น้ำ Tauber หรือไม่ก็ อาจจะมาจากการที่มองลงมา เห็นบ้านเรือนหลังคาสีแดงเต็มไปหมดก็เป็นไปได้
แต่บางที่ก็บอกว่า Rothen แผลงมาจากคำว่า Rotten ในภาษาเยอรมัน ที่หมายความเกี่ยวกับกระบวนการผลิตแฟล็ก และลินิน เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่เพาะปลูก
ประวัติ Rothenburg
เมืองโรเทนเบิร์กเริ่มปรากฏในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ค.ศ.950 เดิมเป็นพื้นที่เพาะปลูก เป็นฝาย หรือเขื่อน ซึ่งอยู่บนที่เดียวกับสวน Burggarten ในปัจจุบัน
ร้อยกว่าปีต่อมา (ค.ศ.1070) ก็มีท่านเคานท์ที่ปกครองเมือง สั่งให้สร้างปราสาทขึ้นที่ยอดภูเขา เหนือแม่น้ำ Tauber (ปัจจุบันปราสาท เหลือแต่ซากไปแล้ว)
สร้างปราสาทที่ว่าขึ้นมา เพื่อชมทัศนียภาพที่สวยสดงดงามของเมือง และแม่น้ำที่ไหลผ่าน
เคยเป็นเมืองใหญ่ในอดีต
อีกร้อยปีต่อมา (ค.ศ.1170) ก็เริ่มมีการพัฒนาเมืองอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจาก ป้อมปราการที่แข็งแกร่งขึ้น Market square และ St. Jame’s Church (ภาษาเยอรมันเรียก St. Jakob)
อีกร้อยปีต่อมา (ค.ศ.1274) ถูฏเรียกว่าเป็นเมือง Free Imperial City หรือ เมืองที่ปกครองตนเอง เพราะมีการขยายตัวของเศรษฐกิจ และจำนวนประชากรเร็วมาก
มีการสร้าง กำแพงเมือง และ Town hall ซึ่งมี Tower สีขาว ที่พวกเราจะได้ปีนขึ้นไปชมด้วยค่ะ
ประชากรที่อยู่ภายในกำแพงเมืองประมาณ 5,500 คน ส่วนที่อยู่นอกกำแพงเมืองอีกประมาณ 14,000 คน ซึ่งเป็นปริมาณที่ถือว่าเยอะแล้วในสมัยนั้น
และถือว่าเป็นเมืองที่ติดอันดับเป็น 1 ใน 20 ของเมืองที่ใหญ่ที่สุด ใน Holy Roman Empire
จนกระทั่งปี 1803 Rothenburg ก็ได้ถูกรวมอยู่ในรัฐบาวาเรีย
สงครามโลกครั้งที่สอง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ.1945) เมืองโรเทนเบิร์กก็โดนทิ้งระเบิดด้วยเหมือนกัน แต่มีคนใหญ่คนโตชาวอเมริกัน ที่เกี่ยวข้องกับภาระกิจทิ้งระเบิดนี้ ได้ช่วยเหลือไว้
ด้วยความที่ชอบเมืองนี้มาก และเสียดายความสวยงามของเมืองนี้ ก็เลยสั่งห้ามใช้ปืนใหญ่ เพื่อลดความเสียหาย
ด้วยการก็ส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาว่า ถ้าไม่ตอบโต้ เราจะยกเว้นเมืองนี้ ไม่ทำลายทิ้ง
ผู้นำของเมืองโรเทนเบิร์กในขณะนั้น ก็ตัดสินใจตกลงยอมแพ้ และเลือกที่จะขัดคำสั่งของฮิตเลอร์ เพื่อปกป้องเมืองไม่ให้เสียหายมากไปกว่านี้ (ซึ้งน้ำใจ…)
หลังจบสงคราม ประชาชนก็เร่งสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ และได้รับการบริจาคหินมาจากทั่วโลก แต่ละก้อนก็จะมีสลักชื่อผู้บริจาคไว้ด้วยค่ะ
สวยจริงมาแต่โบราณ
เห็นแบบนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องการันตีได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ ว่าโรเทนเบิร์กเป็นเมืองที่สวยจริง ไม่ได้ตามกระแส
ยิ่งมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว เหมือนหลุดเข้ามาในเทพนิยาย หรือเกมส์แนวอัศวิน หรือดิสนี่ย์แลนด์โซนแฟนตาซีที่ไม่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตู
หลังคาบ้านทุกหลังพร้อมใจกันเป็นสีแดง (อย่างกับหมู่บ้านพฤกษา)
สไตล์การตกแต่งน่ารัก ถ่ายรูปสวยทุกมุมแม้ว่าจะไม่ใช่ช่างภาพ หรือแม้กระทั่งคนถ่ายรูปไม่เป็นแบบแอดมิน ยังรู้สึกว่า กดชัตเตอร์มุมไหนก็สวยไปหมด
Christmas museum
พิพิธภัณฑ์คริสต์มาสต์ เป็นสถานที่ที่ตั้งใจจะมาเต็มที่ค่ะ เพราะเคยเห็นในรูปแล้ว มันอลังการจริงๆ
ค่าเข้าคนละ 4 ยูโร (~160 บาท)
ภายในห้ามถ่ายรูป
ความรู้สึกหลังจากเข้าชมแล้ว
ส่วนของพิพิธภัณฑ์มีไม่เยอะมากค่ะ เป็นการจัดแสดงของประดับตกแต่ง ในเทศกาลคริสต์มาสต์ มาตั้งแต่สมัยโบราณ
เชื่อมั้ยคะว่า แรกเริ่มซานตาครอสไม่ได้ใส่ชุดสีแดงนะคะ เขาแค่เป็นคนธรรมดาใส่ชุดโทรมๆเอาของมาแจก
แต่ปัจจุบันที่เห็นซานตาครอสใส่ชุดสีแดง เพราะเป็นการตลาดของยุคใหม่ ที่สร้างแบรนด์เพื่อขายของนั่นเองค่ะ
กิจกรรมที่ต้องทำในช่วงคริสต์มาสต์ก็คือ การตกแต่งต้นไม้ ก็จะมีการประกวดการตกแต่ง ซึ่งล้วนแต่อลังการ แบบที่คิดว่า นี่เขานั่งประดิษฐ์มาทั้งปีแน่ๆเลย
คุ้มมั้ยที่จะเสีย 4 ยูโรเข้าพิพิธภัณฑ์คริสต์มาส
จะว่าไป 4 ยูโร ก็ถือว่าไม่แพง(สำหรับบ้านเขานะคะ)
แต่สำหรับพวกเราที่ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องคริสต์มาสต์เลย ยังไม่ถึงกับแตะขั้วหัวใจ ที่จะทำให้อยากแนะนำให้เข้าไปชมได้ค่ะ
เพราะส่วนของพิพิธภัณฑ์จริงๆ ดูแป๊บเดียวก็หมดแล้วค่ะ (ดูเก่าๆนิดๆ) แต่ส่วนที่อลังการน่ะ คือส่วนของสินค้าที่วางขายต่างหากค่ะ
ของที่ขายมันเยอะจริงๆ จนต้องไปตั้งร้านเพิ่มฝั่งตรงข้ามเลยค่ะ
สวยจริงมั้ย
เรากำลังพูดถึงเฉพาะบริเวณขายของนะคะ เรื่องสวยคงไม่ต้องบรรยาย แต่เรื่องราคานี่ต้องร้องว้าวกันเลยค่ะ บางอันหลายพันยูโร บางอันหลายหมื่นยูโร จะบ้าหรอ ตีเป็นเงินไทยก็เป็นแสนเลยนะ
เป็นบ้านไม้แกะสลัก ขนาดเท่าบ้านแมว แต่มันสวยจริงๆค่ะ ถ้าเอามาวางในบ้านพวกเราคงเสียราคาแย่เลย
ที่ถูกที่สุดคงจะเป็นโปสต์การ์ด (มีตรงหน้าประตูให้หยิบฟรีด้วย) ขนาดของประดับพวกลูกกลมๆก็ร้อยกว่าบาทแล้วค่ะ ถ้าใครคิดจะประดับต้นไม้คงต้องใช้เงินหลายพันแน่ๆ
แต่นี้คือเทศกาลของเขานี่คะ เหมือนว่าชาวยุโรปเขาจะมีหัวศิลปะ ชอบตกแต่งน่าดูเลยนะคะ
สำหรับคนที่อยากประหยัดเงิน แอดมินคิดว่า เข้าไปดูแค่ส่วนที่ขายของดีกว่าค่ะ (เข้าฟรี) น่าตื่นตาตื่นใจกว่าเยอะเลย ส่วนคนที่อยากเก็บประวัติศาสตร์ ก็ลองเข้าไปดูก็ได้
ดูวิวบน หอคอยโรเทนเบิร์ก
ถ้าเดินถัดมาจาก Chrismas museum แค่ไม่กี่ก้าว ก็จะเจอ Market square ที่ตรงนั้นจะเป็นพื้นที่กว้างๆ จะมีตลาดแค่สัปดาห์ละครั้ง (วันที่พวกเราไป ไม่มีตลาดค่ะ)
และตึกที่ใหญ่ที่สุด เด่นที่สุด ตรงนั้นก็คือ Rathaus หรือ Town hall ซึ่งก็จะเป็นตึกสองตึกที่สีตัดกันมาก
ตึกนึงเป็นตึกเก่า “สีขาวจั๊ว” มีหอคอยให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ ส่วนอีกตึกนึงที่ใหญ่กว่า สีหม่นๆ เก่าๆ แต่เป็นตึกสร้างใหม่ทีหลัง
ของดั้งเดิมสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1250 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรเทนเบิร์กมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ขึ้นไปบนหอคอย
ด้วยความสูง 61 เมตร บันไดสองร้อยกว่าขั้น ตอนแรกก็นึกว่าจะมีคนเก็บเงินด้านล่าง ก็เดินขึ้นไปตั้งนานไม่เห็นมี เลยนึกว่าสงสัยเขาไม่เก็บเงินซะแล้วสิ
แต่พอขึ้นไปถึงด้านบนสุด ก็เจอคนเก็บเงินนั่งในตู้กระจก ห้องแคบๆ (แถมดูอ้วนมาก จนอดคิดไม่ได้ว่า เธอต้องปีนขึ้น ปีนลงวันละกี่รอบเนี่ย) ค่าบำรุงรักษา 2 ยูโร
จุดที่พีคที่สุดคือบันไดเซ็ตสุดท้ายนี่แหล่ะค่ะ ที่น่าจะเหมือนบันไดบ้านคนจีน หรือบันไดปีนเก็บมะม่วง เพราะมันชันมากเกือบจะ 90 องศาเลยนะคะ
แถมขั้นสุดท้ายนี่ห่างจากพื้นด้านบนมาก ต้องใช้แรงเฮือกสุดท้าย ดึงตัวเองขึ้นไปให้ได้
วิวบนหอคอย town hall โรเทนเบิร์ก
พอเห็นวิวครั้งแรกแล้ว รู้สึกหายเหนื่อยเลยค่ะ อยากจะอยู่ซัก 1 ชั่วโมง ให้คุ้มกับค่าเหนื่อยที่อุตส่าห์ไต่ขึ้นมา แต่พื้นที่ตรงนั้นน้อย และแคบมากๆค่ะ ยังคิดอยู่ว่าถ้าเป็นช่วงที่มีคนเยอะๆ คงจะขี่คอกันยืนน่ะค่ะ
พื้นระเบียงที่ไว้ดูวิวน่าจะยืนได้ไม่เกิน 20 คน แบบเบียดๆ เดินสวนกันก็ไม่ได้ วันเวย์ลูกเดียวค่ะ
ส่วนบริเวณเก็บเงิน ก่อนขึ้นบันไดเซ็ตสุดท้าย น่าจะยืนได้ไม่เกิน 8-10 คน แบบเบียดๆ ถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หรือทัวร์ลง มันจะเป็นยังไงนะ
แต่ยังไงก็เป็นจุดที่แนะนำที่สุด ถ้าได้ไปโรเทนเบิร์กจะต้องปีนขึ้นไปให้ได้เลยนะคะ วิวจะเห็นถึงแม่น้ำ เห็นทั่วเมือง เห็นทุกอย่าง มองลงมาเป็นหลังคาบ้านสีแดงหมดทุกหลัง อย่างกับเมืองตุ๊กตา
สรุป
คุ้มค่าเหนื่อยมั้ย : คุ้มมากๆๆๆๆๆ
คุ้มค่าเข้ามั้ย : เกินคุ้มค่ะ (น่าจะทิปเงินให้เขาด้วยนะ)
อยากขึ้นไปอีกมั้ย : ถ้าได้ไปอีก จะขึ้นอีกแน่ๆ
คนแก่ขึ้นได้มั้ย : อันนี้ตอบยากค่ะ เพราะขนาดเราเองยังหอบเลย แต่ถ้าไปแบบช้าๆ ถึงชั้นนึงก็พักทีนึง ไม่มีที่นั่งพักนะคะ แต่มีที่ยืนพัก
คนแก่บางคนก็แก่แต่อายุค่ะ แต่เรี่ยวแรง และกำลังใจ เต็มเปี่ยมก็ขึ้นได้
จริงๆไม่ห่วงคนแก่ค่ะ ห่วงแต่คนอ้วนค่ะ (อ้วนมากๆ) เพราะห้องที่เก็บเงิน ที่บอกว่ามีบันไดเซ็ตสุดท้ายที่จะขึ้นไปถึงวิวน่ะค่ะ มันเป็นบันไดที่เล็กมากๆๆๆ ที่สำคัญคือ ช่องที่ลอดขึ้นไป มันแคบสุดๆ
ที่คอนเฟิร์มว่าห่วงคนอ้วนมากกว่าคนแก่ เพราะว่าขนาดในรูป ที่เป็นภาพวาดสมัยโบราณ ยังเป็นรูปผู้หญิงอ้วน ขึ้นบันได ลอดช่องนั้นขึ้นไป ยังต้องมีคนคอยดันก้นเลยค่ะ (นี่ในรูปวาดนะ) ไม่รู้จะทำให้แคบๆทำไมนะ
Snowball อร่อยมั้ย
ด้วยความที่มีร้านเบเกอรี่เรียงรายกันเป็นแถว ของคาวไม่ค่อยพบ ก็เลยจบด้วยของหวาน Snowball ที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ
เคยได้ยินมาว่าเจ้า snowball มันไม่ได้อร่อยอะไรหรอกค่ะ ไม่ได้คิดจะกินอยู่แล้ว แต่คนที่มาด้วยกัน สั่งมาแบบไม่ถามไถ่กันเลย ก็มันเล่นวางเต็มไปหมดนี่นา ก็ต้องลองซักชิ้นแหละ
ชื่อ Snowball ก็คงตั้งตามรูปร่างมันแหละค่ะ เพราะมันเป็นก้อนกลมๆ กินไปแล้วมันรสชาติคล้ายๆแป้งโรตี เอามารีดให้เป็นเส้นยาวๆ แบนๆ เหมือนพาสต้า แล้วเอามาทำเป็นก้อนกลม ลงทอด น้ำมันเดือดๆ แล้วชุปด้วยช็อคโกแลต
ต้องเกริ่นก่อนนะคะว่า ปกติพวกเราจะมาแบบประหยัด ร้านอาหารอะไรพวกนี้ได้แต่มองค่ะ ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้เงินกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป
แต่ครั้งนี้ต้องยอมค่ะ เพราะมันหาไม่ได้จริงๆ แถมยังสวยน่ากินไปหมดเลย ก็เลยเป็นร้านแรก และร้านเดียวในทริปนี้ที่จะได้นั่งกินแบบไฮโซกะเขา
ให้คะแนนตามความคุ้มราคา
สโนว์บอล 2.5 ยูโร (~100 บาท) แพงมากค่ะ อร่อยไม่สมราคา ให้ 6/10
เค้กอัลมอลด์ 1.55 ยูโร (~62 บาท) อันนี้ถือว่าถูกถ้าเทียบกับบ้านเราค่ะ อร่อยด้วย ให้ 9/10
คุ้กกี้ช็อคโกแลต 1.3 ยูโร (52 บาท) อันนี้ถือว่ากลางๆ รสชาติเหมือนคุ้กกี้ ให้ 7/10
เป็นฉากหนึ่งใน “Harry Potter”
เชื่อมั้ยคะว่า Rothenburg ก็เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง “แฮรี่ พอตเตอร์” ด้วยนะคะ
ก็ฉากที่ Gellert Grindelwald เข้าไปขโมยไม้กายสิทธ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องรางยมทูต 3 สิ่ง ที่เชื่อกันว่าใครได้ครอบครอง จะได้เป็นหนึ่งเดียวในโลก
(Gellert Grindelwald เป็นพ่อมดชั่วร้ายในยุคก่อน Voldermort และเป็นลูกชายของ Batilda Bagshot)
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะ ฉากสั้นๆ มืดๆ แต่ต้องดั้นด้นไปถ่ายอยู่แค่ที่เดียวเนี่ยะ
Rothenburg Town Wall
กำแพงเมืองเก่านี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่13 พร้อมๆกับ Tower ที่เราปีนขึ้นไปน่ะค่ะ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เมืองโรเทนเบิร์กรุ่งเรืองมาก มีการขยายตัวของประชากร และเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ถึงกับติดอันดับ 20 เมืองที่ใหญ่ที่สุดใน “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์” เลยนะคะ
แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็โดนพิษสงคราม ถูกทำลายไปหลายจุด แต่ก็ไม่สาหัสเท่าเมืองอื่นๆ อย่าง Wurzburg ที่เราเพิ่งจะผ่านมา
น้ำใจจากคนทั่วโลก
กำแพงเมืองที่เราได้เห็น และได้เดินเล่นนี้ มีบางส่วนที่ประชาชน รวมทั้งคนทั้งโลกที่หลงรักเมืองนี้ ได้พร้อมใจกันบริจาคเพื่อสร้างกำแพงที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่
ดังจะเห็นได้จากชื่อที่ถูกสลักที่กำแพง ทั้งชื่อคน ชื่อองค์กร ชื่อเมือง ชื่อประเทศ ให้ความรู้สึกถึงความผูกพันของคนทั้งโลกที่มีต่อเมืองเล็กๆเมืองนี้
แต่คนที่ทำแบบนี้ได้ คงไม่ใช่แค่ประชาชนอย่างเดียวหรอก ต้องมีผู้นำที่ดี เด็ดขาด และเสียสละ มากพอสมควรนะคะ ถึงจะทำได้ขนาดนี้
เพราะผู้นำของเมืองนี้ในขณะนั้น ต้องรับความเสี่ยงที่จะโดนอะไรก็ไม่รู้ในการขัดคำสั่ง “ฮิตเลอร์” แล้วยอมรับข้อเสนอของทางทหารอเมริกัน ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรักเมืองนี้ต่างหาก
มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ถึงความสวยงามของ “โรเทนเบิร์ก”
จุดขึ้นกำแพงเมือง
หินที่ใช้สร้างกำแพง นำมาจากเหมืองใกล้ๆ มีหินหลายประเภทผสมกัน แต่ส่วนประกอบหลักก็ต้องเป็น limestone ที่เขาว่าแข็งแกร่งที่สุด ขนาดชาวโรมันยังนำไปสร้างกำแพงมาตั้งแต่โบราณเลยค่ะ
จุดขึ้นไปเดินบนกำแพงมี 6 จุด แต่ละจุดห่างกันประมาณ 500 เมตร ถ้าเดินวนรอบเมือง ระยะทางประมาณ 2.5 กม. สำหรับพวกเรามีเวลาน้อยมาก ก็ได้แค่ประมาณ 1 กม. เท่านั้น
ถ้าใครมีเวลา ลองเดินวนให้ครบทั้งเมืองนะคะ เพราะแม้ว่าจะไม่ได้สูงมาก แต่มองลงไปแล้ว ก็เห็นหลังสีแดง และเมืองด้านล่างได้อย่างชัดเจน เหมือนเป็นผู้ตรวจการเลยล่ะค่ะ
สรุป
– ถ้าจะเดินบนกำแพงเมืองเก่าให้ครบรอบ แนะนำเผื่อเวลาไว้ประมาณ 1-2 ชม.
– ถ้าเดินเฉยๆแค่ 1 ชม.คงหมด แต่มันเดินเฉยๆไม่ได้หรอกค่ะ มันมีมุมให้ถ่ายรูปทุกจุด อดไม่ได้แน่ๆค่ะ ฉะนั้นเผื่อไว้เลย 2 ชม.
– กำแพงเมืองมันมีจุดลาดเอียง จุดสูง จุดเตี้ย จุดลับ ที่เดินได้ไม่เบื่อเลยค่ะ ยังคิดอยู่ว่าสมัยก่อนเขาสร้างขึ้นมาให้เดินเล่นหรือเปล่า อยากไปอยู่ที่นั่นซักเดือน จะเดินเล่นทุกวันเลย
Burggarten
คำว่า Burggarten เป็นภาษาเยอรมันนะคะ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Castle garden เพราะสมัยก่อนมีปราสาทอยู่ใกล้ๆตรงนั้น แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีเลยค่ะ สงสัยจะโดนถล่มไปนานแล้ว เหลือแต่สวน
พวกเรามช่วงกลางเมษายน ซึ่งก็คิดว่าน่าจะมีต้นไม้ ดอกไม้เต็มสวนแล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มจะเตรียมดิน เริ่มปลูกเป็นกระหย่อมเท่านั้นเองค่ะ
แต่ขนาดไม่ค่อยมีดอกไม้มากนัก ก็สวยน่านั่งมากๆค่ะ มีคนเล่นดนตรีคลาสสิกสดๆให้ฟัง(เขาขายซีดีน่ะ) วิวทิวทัศน์ที่สมชื่อกับคำว่า Castle garden
สรุปในจุดของสวน Burggarten คือ ต้องเดินมาชมให้ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นฤดูที่มีดอกไม้หรือไม่มี เพราะเป้าหมายก็คือวิวที่มองออกไปต่างหากล่ะคะ ที่สวยกว่า
Tauber bridge
ชื่อ Tauber เป็นชื่อลำธารเล็กๆที่สะพานนี้ข้าม จึงได้ชื่อว่า Tauber bridge
Tauber bridge เป็นสะพานที่มีสองชั้น ก็เลยมีชื่อเล่นว่า Double bridge ซึ่งถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิศวกรรมอย่างมาก ที่สามารถสร้างได้แบบนี้มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
เป็นสะพานประวัติศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่สมัยค.ศ.1330 เป็นทางเชื่อมทางการค้าระหว่างเมือง Augsburg ถึง Wurzburg
มีความกว้างสำหรับรถ 4 เมตร และความกว้าง 1 เมตรสำหรับคนเดิน
Mission failed
ที่อยากไปดูเพราะไม่เคยเห็นใครถ่ายรูปตอนเดินบนสะพานมาเลย ก็เลยไม่เข้าใจว่ามันเดินชั้นบน แล้วรถวิ่งชั้นล่าง หรือปัจจุบันอาจจะไม่ได้ให้รถวิ่งแล้ว มันเลยต้องไปดูให้เห็นกับตา
แต่…เห็นในแผนที่มันใกล้แค่นี้นะคะ แต่มันหาทางไปยากจริงๆ ถ้าจะไปจริงๆก็แค่เดินตามถนนใหญ่ไป หรือไม่ก็ลัดเลาะเข้าป่า แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเย็นมากๆแล้ว กลัวหลงป่า กลัวงู กลัวไกล และกลัว…อะไรไม่รู้ค่ะ ก็เลย…ไปไม่ถึง…แหะๆๆ
Medieval Old Town Theme park
ในเมื่อหาทางไปสะพานไม่ได้ ก็มีเวลาเหลือ เดินสำรวจเมืองเก่าส่วนที่ซ่อนๆอยู่เต็มไปหมด
พวกเราพบว่า เมืองนี้มันเหมือน Theme park ในสวนสนุกที่ไม่มีเครื่องเล่น ไม่มีคน ไม่เก็บค่าบัตรผ่านประตู ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีตัวการ์ตูน
มีแต่เมืองสวยๆ ให้เราครอบครอง และเดินสำรวจได้ไม่มีวันหมด
เพราะมันมีซอยซอย มีช่องทางลับ มีทางเดินวนไปวนมาได้หลายทาง
อย่างกับเล่นเกมส์ เดินๆไปอาจมี monster ให้เก็บเลเวล เดินๆไปอาจมีของให้เก็บ มีเหรียญให้สะสม จริงๆที่ว่ามาไม่มีซักอย่างหรอกค่ะ มีแต่ค่าประสบการณ์(exp) ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
สิ่งที่ไม่ชอบในโรเทนเบิร์ก
ก็เรื่องรถยนต์ที่วิ่งกันเยอะกว่าคนเดินซะอีก วิ่งกันเร็วด้วยนะ เสียงก็ดัง ถ้าเป็นเมืองปกติก็ไม่ได้คิดอะไร
แต่ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราได้เดินอยู่ในเมืองที่มีบ้านเรือนเป็นแบบที่เห็นนี่แหล่ะ แค่ไม่มีรถยนต์ ไม่มีกลิ่นควันท่อไอเสีย ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ใครจะเข้ามาให้เดินเข้ามาอย่างเดียว รถจอดไว้ด้านนอกนู่น มันจะเลิศขนาดไหน
แหม…อินซะลืมไปว่านี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่สวนสนุก !!!
สรุป
– พวกเรามีเวลาให้เมืองนี้ได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น ซึ่งมันน่าเสียดายมาก คิดว่าในอนาคต ต้องกลับมาเที่ยวที่โรเทนเบิร์กให้ได้อย่างแน่นอน
– จริงๆใช้เวลาเดินทั้งเมือง (เฉพาะเดินเฉยๆนะ ไม่เข้าสถานทีใดๆ เดินผ่านๆ เร็วๆ) คงใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 3 ชม.
– ให้คะแนนความประทับใจ 10/10 ไปเลยค่ะ (หักจากที่รถเยอะ จริงๆให้ 11/10)
โปรแกรมแนะนำ เที่ยวโรเทนเบิร์ก 2 วัน 2 คืน
ถ้าจะให้เดินสำรวจแบบทั่วๆจริงๆ แบบไม่รีบร้อน ควรค้างที่นี่อย่างน้อยๆ 2 คืนค่ะ
– มาถึงวันแรก ก็คงเกือบเที่ยง ไป City hall Tower ก่อน ถ้ามีตลาดด้านหน้าก็ถือว่าโชคดีมากค่ะ จากนั้นเดินไปอีกนิดที่ Christmas museum และ Medieval Crime museum (อันนี้แอดมินไม่อยากดู เพราะกลัวค่ะ) แค่นี้ก็น่าจะหมดไปครึ่งวันแล้วค่ะ
– สำหรับใครที่ยังมีแรง หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว ก็ออกมาทัวร์กับ Night Watchman ตอน 2 ทุ่ม (จุดนัดพบคือหน้า Town hall ควรมาก่อนซัก 1ทุ่มครึ่ง)
สำหรับทัวร์ Night Watchman ราคาคนละ 6 ยูโร
พวกเราไม่ได้ใช้บริการ เพราะว่า เดินจนง่วงแล้ว ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนอกเมืองเก่า กว่าจะกลับถึงห้องก็เกือบ 3 ทุ่ม
ยังไม่ได้กินอะไรตอนเย็นเลย พรุ่งนี้เช้าก็ต้องออกแต่เช้าด้วย ก็เลยคิดว่าเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน
– หมดไปแล้วครึ่งวัน กับ 1 คืนใช่มั้ยคะ อีกวันนึงก็เดินเมืองเก่า ครึ่งวันเช้าก็สำรวจให้ทั่วเมืองเก่า เดินบนกำแพงเมืองให้ครบรอบ แพคอาหารไปทานในสวน ชมวิว ชมดอกไม้
– ครึ่งวันหลัง เดินนอกตัวเมืองเก่า เดินไปสะพาน Tauber ระแวกนั้นเป็นต้นไม้ ลำธาร บ้านหลังเล็กๆ น่าเดินสำรวจ ถ้าเวลาเหลือก็เดินเมืองด้านนอกกำแพง เท่านี้ก็คงไม่ค้างคาใจแล้วล่ะค่ะ
– พรุ่งนี้เช้าก็เตรียมตัวออกจากเมืองได้แล้วค่ะ
สรุปตั๋วที่ใช้เที่ยว Rothenburg ob der Tauber
- จ่ายจริง Flixbus คนละ 5 ยูโร (แต่ได้ขึ้นรถไฟใช้ตั๋วรัฐบาวาเรีย 2 คน 28 ยูโร แต่ได้คืนเงินจาก Flixbus มาแล้ว สรุปจ่ายแค่ ค่า Flixbus ที่ไม่ได้ขึ้น จะงงมั้ยเนี่ยะ 555+)
- ตั๋วเข้า Christmas museum คนละ 4 ยูโร
- ค่าขึ้นหอคอยโรเทนเบิร์ก คนละ 2 ยูโร
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ