รีวิว เที่ยวยุโรป SS1 D6 เที่ยว Bamberg
วันนี้พวกเราจะออกจาก Rothenburg o.b.T ไป Bamberg ด้วยตั๋ว VGN TagesTicket แล้วจะพักค้างกันที่นี่ 1 คืนค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว เที่ยวยุโรป SS1 D5 เที่ยว Rothenburg
ตื่นสาย
เนื่องจากเราวางแผนกันว่าจะตื่นตี4 แล้วออกจากที่พัก ตี 5 เพื่อจะไปขึ้นรถไฟรอบ 6 โมงให้ทัน แต่…พวกเรา “ลืมตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ”
ลืมตามาอีกที ก็เอะใจว่าทำไมหน้าตามันสว่างจัง กระโดดจากเตียง ควานหามือถือ “ไอ้หยา…6โมงกว่าแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ตารางเวลาที่เราเตรียมไว้มันเลยเลื่อน ต้องไปหาเอาใหม่ที่ตู้ (โรงแรมที่นี่ wi-fi ไม่ขึ้นเลย)
VGN TagesTicket Plus ราคา 18.7 ยูโร
สำหรับตั๋วเดินทางที่พวกเราเลือกใช้วันนี้ก็คือ VGN TagesTicket ซึ่งราคาถูกกว่า Bavaria Ticket แต่เงื่อนไขต่างกันดังนี้ค่ะ
VGN TagesTicket
– ใช้สำหรับผู้ใหญ่ 2 คน + เด็ก 4 คน (ผู้ใหญ่มากกว่า 2 ไม่ได้แล้ว)
– ใช้กับรถบัสและรถไฟได้ทั่วเขต VGN
– เป็นตั๋ววัน ใช้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายใน 1 วัน(ถึงรอบรถรอบสุดท้าย)
– ไม่จำกัดเวลา ใช้ได้ตั้งแต่เช้า ไม่ต้องรอ9โมง ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดา หรือวันหยุด เหมือนกันหมด
– ใช้เฉพาะพื้นที่แคบกว่า ถ้าพูดถึงเมืองดังๆ ก็พวก Rothenburg , Bamberg , Nuremberg , Bayreuth (ดูในแผนที่ VGN ได้) แต่ Wurzburg จะไม่รวมด้วย ดังนั้นเวลาต้องไปต่อรถ ห้ามไปต่อที่ Wurzburg เด็ดขาด
– Bayern ticket ครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า แต่วันธรรมดาต้องใช้หลัง 9 โมง
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.vgn.de/en/dayticket?Edition=en&p=fares-overview-
มหกรรมต่อรถไฟ 4 ต่อ
จาก Rothenburg มา Bamberg ต้องใช้เวลานานถึง 2 ชม.กว่าๆ เรื่องนานไม่เป็นไร แต่เรื่องต่อรถเป็นเรื่องที่พวกเราเคยกลัวก่อนจะมาค่ะ กลัวว่าจะต่อรถไม่ทัน 5 นาทีจะทันมั้ย
พอได้มาแล้วก็รู้เลยว่า ชานชาลาของเยอรมัน มันง่ายมากๆค่ะ เรียงกันดูง่ายจริงๆ ฉะนั้น 5 นาทีในการต่อรถไฟ ก็ไม่ใข่ปัญหาเลยค่ะ เพราะเอาเข้าจริงๆ ใช้เวลาเดินแค่ 2 นาทีเอง
ถึง Bamberg
พวกเราไปถึง Bamberg ตอน 11 โมง หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางไปต่อที่ Seehof Palace
วิธีไป Seehof Palace
นั่งบัสสาย 907 ขึ้นป้ายที่ชื่อว่า Bahnhof/Ludwigstr (อยู่ใกล้สถานีรถไฟ) ปลายทางจะเขียนว่า Memmelsdorf ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ลงป้ายที่ชื่อว่า Schloβ Seehof
ค่าโดยสารไม่ทราบจริงๆค่ะ รู้แค่ว่า 2-3 ยูโร เห็นคนจ่ายเงินให้เหรียญเล็กๆ แต่พวกเราใช้ VGN TagesTicket
ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งขากลับไม่เห็นมีตารางเวลาบอกนะคะ ถ้าจะเช็คเวลาขากลับ ต้องดาวน์โหลดจากเวปนี้ค่ะ–> ตารางเวลารถ907 ต้องรู้เวลารถมานะคะ เพราะรถเมล์รอบน้อยค่ะ
บนรถบัสในแบมเบิร์กจะมีเสียงประกาศสถานีถัดไปที่น่ารักมากเลยค่ะ “เป็นเสียงเด็ก” ค่ะ
Seehof Palace ชลอส เซ๊โหฟ (Schloss Seehof)
ก่อนอื่นคำอ่านนั้นสำคัญค่ะ เพราะจะทำให้คนฟังเข้าใจเราได้ง่ายขึ้นค่ะ อย่างพวกเราที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อ่านอย่างมั่นใจเลยค่ะ “ซีฮอฟ” คนฟังทำหน้างงๆ แล้วย้อนถาม “เซ๊โหฟ” เออๆนั่นแหละ “เซ๊โหฟ…ก็เซ๊โหฟ”
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 4 ยูโร เด็ก 3 ยูโร
หรือสามารถซื้อ combined ticket กับ Neueresidenz ก็ได้ 7 ยูโร
สำหรับพวกเราใช้บัตร 14-days ticket ที่ซื้อมาตั้งแต่ Wurzburg residence 44 ยูโร ใช้ได้ 2 คน
สำหรับที่นี่ถือเป็นที่ที่3 ของการใช้บัตร 14-days ticket
วันและเวลาทำการ
เปิด เมษายน – ตุลาคม 9.00 น. – 18.00 น.
หยุดทุกวันจันทร์
ปิด พฤษจิกายน – มีนาคม
ประวัติ Seehof Palace (ข้อมูลจากที่ได้เข้าชม)
พระราชวังแห่งนี้ เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1687 แต่กว่าจะเสร็จก็ปี 1696 เพื่อเป็นวังฤดูร้อนของ Prince-Bishops ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมือง Bamberg ในสมัยนั้นๆ
เนื่องจาก Prince-Bishop จะไม่ได้มาจากการส่งต่ออำนาจสู่ทายาท แต่จะมาจากการคัดเลือกของศาสนจักร
ซึ่งต่างกับ King ที่สืบทอดกันในตระกูลได้
คือก่อนหน้าที่จะมี Prince-Bishop เมือง Bamberg ก็เคยมี King ปกครองมาก่อนเหมือนกัน ซึ่งจะพักอยู่ที่ Old Court เดี๋ยวค่อยไปชมนะ
(Old Court อยู่ติดกับ New Residence ไปเห็นแล้วจะอึ้งว่า ที่อยู่ของ King กับ Prince-Bishop มันช่างต่างกันราวบ้านกับวัง)
ตกเป็นของ Wistelbach แห่ง Bavaria
แต่ต่อมาก็ตกมาเป็นของตระกูล Wistelbach แห่ง Bavaria แต่สมาชิกรุ่นหลังๆของตระกูลไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ไม่ได้ดูแลอะไร แถมยังเอาไปขายต่ออีก
จากนั้นก็ถูกซื้อขายต่อๆกัน เปลี่ยนมือไปจนไม่รู้ว่าเป็นของใครบ้าง จนมีสภาพที่ทรุดโทรม ไม่เคยทำนุบำรุงเลย
แต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 รัฐบาวาเรีย ได้ตามหาเจ้าของ และขอซื้อวังคืนกลับมา เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์
หลังสงครามโลกครั้งที่2
แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายค่ะ เพราะไอ้ที่ซื้อมามันก็แค่สิ่งก่อสร้างโทรมๆ เฟอร์นิเจอร์แทบจะไม่เหลือ เพราะช่วงสงคราม พวกอเมริกันก็ยกไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์คเกือบหมด ของบางอย่างก็กระจัดกระจายไปหลายที่ ทางบาวาเรียก็ต้องตามไปซื้อคืนกลับมาบ้าง แต่ก็ได้เฉพาะที่เขาให้เท่านั้น
และที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ ไกด์เขาใช้คำว่า “Loan” ซึ่งพวกเราเดาเอาเองว่า “ให้ยืม” โดยเสียค่าเช่า หรือค่าอะไรซักอย่าง ไม่ได้ซื้อขาดนะ
พิพิธภัณฑ์ทุกแห่งอยู่ได้ด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เงินจากรัฐบาลก็มาจากภาษีประชาชน จะหวังค่าเช้าชมแค่คนละ 4 ยูโร แค่ค่าจ้างไกด์ยังไม่ได้เลยค่ะ ทำไมเขาถึงเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ขนาดนี้นะ
และที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันก็คือ ที่เขาปรับปรุงขึ้นใหม่แล้วนะคะ ของเดิมโทรมซะจนโชว์ไม่ได้เลยค่ะ
การตกแต่ง
เป็นสไตล์ Rococo ทั้งภายใน และบริเวณสวน ให้อารมณ์หรูหรา อย่างกับมาเยี่ยมบ้านมหาเศรษฐี
ด้านหน้าติดทะเลสาบ มีน้ำพุที่เขาใช้คำว่า “Water game” ไอ้เราก็ไม่เข้าใจว่า มันจะเป็นเกมส์อะไร มีคนมาเล่นหรอ ไม่เห็นมีคนซักคน ฝนก็ตก
สรุปคือ เป็นการเปิดน้ำพุ ที่มีหลากหลายลูกเล่น และบริเวณกลางทะเลสาบ จะเป็นน้ำพุที่สูงมาก
ที่ทำให้ดูสำคัญก็คือ เขาเปิดเป็นเวลา ไม่แน่ใจว่าเปิดกี่โมงบ้าง แต่ตอนพวกเราไปเขาบอกจะมีตอน 12.00 น.
การเข้าชม
จะเป็นการให้ไกด์พาชมเท่านั้น ห้ามเดินดูเอง เพราะต้องดูแลให้ทั่วถึง เปิดไฟ ปิดไฟ แต่ละจุด
ไกด์พูดภาษาเยอรมันตลอด แต่เราสามารถสอบถามเป็นภาษาอังกฤษได้ตลอดเช่นกันค่ะ และมีแจกรายละเอียดภาษาอังกฤษให้อ่านไปด้วยค่ะ
ด้านในมีรองเท้ายักษ์ให้ใส่สวมทับรองเท้าของเราได้เลยค่ะ วิธีนี้ดีมากค่ะ ไม่ต้องถอดรองเท้า พื้นก็ไม่เลอะด้วย แต่มันจะหลุดนี่สิคะ
มีอยู่ช่วงนึงเดินๆอยู่มันเกิดหลุดกลางวง ทุกคนหัวเราะกันใหญ่(แต่เราอาย555+)
ใช้เวลาในการเยี่ยมชมประมาณ 40 นาที
สรุปความประทับใจ
1. ชอบที่คนน้อย (ไปช่วงกลางเมษายน)
2. ด้านในสวยตามแบบฉบับวังนอกเมือง
3. แต่อาจจะมีความรู้สึกเล็กๆว่า เราแตกต่าง เพราะเราฟังเขาไม่รู้เรื่อง เขาขำอะไรกัน เราก็ได้แต่อ่านชีทไป
4. ไกด์ช่วยเหลือดีมาก ยิ้มแย้ม เป็นกันเองดี
5. เวลาที่ใช้ ไกด์ทัวร์ 40 นาที + สวน น้ำพุ 20 นาที + เดินทางมา 20 นาที + เดินทางกลับ 20 นาที
6. เป็นสถานที่ที่อยากให้มาชมมากๆค่ะ ให้ 9/10
7. ขนาดพวกเรามาตอนฝนตก ยังรู้สึกสวยเลยค่ะ ถ้ามาตอนแดดออก ต้องสวยกว่าแน่ๆ
กลับเข้าเมือง
หลังจากชม Seehof Palace จบ พวกเราก็นั่งบัสสาย 907 เหมือนเดิม กลับเข้าตัวเมือง โดยไปลงบัสที่ ZOB แล้วต่อสาย 901 เพื่อไป New Residence กันต่อค่ะ
ถึง New Residence Bamberg
จาก ZOB มายัง New Residence ห่างกันแค่ไม่กี่ป้ายค่ะ แต่ถ้าเดินก็ไกลพอสมควรนะคะ
สถานที่นี้ดูไม่ยากเลยค่ะ เพราะรถเมล์จะวิ่งผ่านกลางสแควร์เลย เป็นเรื่องที่ขัดหู ขัดตาเรื่องหนึ่ง เพราะมีถนนคั่นกลาง เดินๆอยู่ต้องคอยระวังรถค่ะ
สถานที่สำคัญจะเรียงกันแบบเงยคอซะเมื่อยคอเลยล่ะค่ะ
ซ้ายสุดเป็น Dom Bamberg เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาที่สำคัญของเมือง Bamberg
ถัดมาทางขวาเป็น Old Court เป็นที่อยู่ของ Kings ในสมัยก่อนที่จะมี Prince-Bishops มาปกครอง
ถัดมาทางขวาสุดเป็น ตึกที่กว้าง และยาวที่สุด ก็คือ New Residence หรือ Neue Residenz ซึ่งก็คือที่อยู่หลักของ Prince-Bishops นั่นเองค่ะ
สำหรับ Seehof Palace ที่พวกเราเพิ่งไปมานั้น เป็นที่อยู่เหมือนบ้านพักตากอากาศ ในฤดูร้อนเท่านั้นเองค่ะ
ค่าเข้าชม New Residence Bamberg
ผู้ใหญ่ 4.5 ยูโร เด็ก 3.5 ยูโร
พวกเราใช้ 14-Days ticket ที่ซื้อมาตั้งแต่เข้าชม Wurzburg residence 2 คน 44 ยูโร
วันและเวลาทำการ
เปิดทุกวัน
เมษายน – กันยายน 9.00 น. – 18.00 น.
ตุลาคม – มีนาคม 10.00 น. – 16.00 น.
New Residence Bamberg
มีทั้งหมด 4 ส่วนหลักๆ แต่แรกเริ่มสร้างขึ้นมาแค่ 2 ส่วน ในปี1602 ในสไตล์เรอเนอซองส์
ต่อมาปี 1697 ก็เริ่มสร้างส่วนที่ 3-4 ในสไตล์บาโร๊ค ซึ่งใช้เป็นที่ประทับของ Prince-Bishops
ภายในมีห้องสำคัญๆกว่า 40 ห้อง รับรองได้ว่าเดินกันจนเมื่อยค่ะ
เข้าชม New Residence
หลังจากโชว์ตั๋ว 14 day ticket ได้บัตรเข้าชมแล้ว เขาก็ให้พวกเรานั่งรอที่ห้องรับรอง บอกว่าต้องรอเวลาอีก 20 นาที ทัวร์ถึงจะเริ่ม พวกเราก็เลยไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ระหว่างที่เข้าห้องน้ำก็ได้ยินเสียงคนเรียก “Madame” ก็เลยรีบออกมา
เขาบอกว่าให้รีบขึ้นไปด้านบนได้แล้ว เอ๊ะ…นี่ยังไม่ถึง 20 นาทีนี่นา ปรากฏว่า เขาให้พวกเราร่วมวงกับอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเราก็นึกว่าเพิ่งเริ่ม คนมาจากไหนกันเนี่ยะ ตอนแรกไม่เห็นมีใครเลย
ไกด์พาชมตามห้องไปเรื่อยๆ พูดเป็นภาษาเยอรมัน ส่วนพวกเราก็อ่านชีทภาษาอังกฤษไปค่ะ
จนกระทั่งจบ ไกด์เดินมาบอกว่าให้รอก่อน พวกเราก็แปลกใจ เอ๊ะ…จะทำอะไรหรอ
จากนั้นไกด์ก็พาเราไปอีกส่วนหนึ่ง บอกว่า กลุ่มที่แล้วเขาได้ชมกันไปแล้ว เดี๋ยวจะพาชมส่วนที่พวกคุณยังไม่ได้ชมนะคะ
พวกเรางี้…ตัวแข็ง เกร็งซะ เฮ้ย… Private Tour เลยหรอ เกรงใจอ่ะ ค่าเข้าแค่ 4.5 ยูโร(พวกเราไม่เสีย ใช้ 14-Days ticket ด้วย)
แถมใจดีให้พวกเราถามได้ทุกเรื่องด้วย (ไม่รู้เรื่องอ่ะ ไม่รู้จะถามอะไร)แต่ก็ถามแบบงูๆปลาๆ เพราะอยากรู้ เช่น
ไอ้แท่นๆที่เหมือนเค้กแต่งงานตั้งใหญ่ๆที่วางไว้ทุกห้องมันคืออะไรเห็นมาทุกวังเลย (มันคือ Heater โบราณ)
ทำไม Habsburg มาเกี่ยวกับ Bavaria (เขาแต่งงานข้ามกันอยู่เรื่อยๆ เป็นเหมือนเครือญาติเดียวกัน)
ไม่มี Prince-Bishops แล้ว วังนี้ตกเป็นของรัฐบาวาเรีย หรือของเอกชน (ของรัฐบาวาเรีย ตั้งแต่ศตวรรษที่19)
ส่วนเรื่องห้องต่างๆไม่ต้องบรรยายค่ะ สวยงามทุกห้อง นึกว่าเป็นเมืองหลวงของบาวาเรียเลยนะ
จริงๆตามประวัติศาสตร์ ตั้งแต่พระสันตะปาปามาเยือนเมือง Bamberg ในปี1020 หลังจากนั้น Bamberg ก็ถือเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ช่วงหนึ่งด้วยค่ะ
คือเมืองนี้มีผู้ปกครองเป็น Prince-Bishops (พระที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างกับ King) ต่อเนื่องกันมานับพันปีแล้วนะคะ
ส่วนสุดท้ายไกด์ปล่อยให้พวกเราเดินชมเอง เป็นแกลอรี่ภาพวาดต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับพระเยซู
น่าจะเป็นเพราะศิลปินที่วาดมีหลายคน รูปพระพักตร์ของพระเยซูเลยค่อนข้างแตกต่างกัน บางรูปหล๊อหล่อ บางรูปโทรมๆ บางรูปบึกบึนมีกล้าม บางรูปผอมแห้งด้วยนะ
สรุป
1. ควรค่าต่อการเข้าชมมั้ย –> ควรอย่างยิ่งเลยค่ะ 10/10
2. เราอาจจะรู้สึกเกร็งๆนิดหน่อยค่ะ เพราะพวกเราพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง แต่ฟังรู้เรื่องนะ เขาใช้คำง่ายๆ พูดชัดๆ ใจดี
3. ฟังออกหรือไม่ออก รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่เห็นเป็นอะไรเลยค่ะ ไม่ได้เก็บคะแนนซะหน่อย แค่ได้เห็นห้องต่างๆ ก็คุ้มแล้วนะคะ
4. แค่บอกเค้าไปตรงๆว่า เราอาจจะใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่องนะ แต่เราฟังคุณเข้าใจนะ ไอ้ที่ไม่ค่อยเข้าใจคือ ประวัติต่างๆ ชื่อเฉพาะ ลำดับเหตุการณ์ และเราอยากดูการตกแต่งต่างๆ
5. ควรศึกษาประวัติมาแบบคร่าวๆบ้าง จะได้สนุก และเรียบเรียงเรื่องราวได้ง่ายขึ้นค่ะ
6. จากที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย อ่านแล้วก็ไม่เข้าหัว ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องนะ แต่มันเข้าหัวค่ะ
7. เริ่มอิน เริ่มอยากรู้ที่อื่นๆ พอไปที่อื่นๆ มันก็เริ่มประติดประต่อกันได้ ไม่ได้รู้เรื่องเหมือนนักวิชาการ แต่ก็ทำให้อยากไปทริปอื่นๆอีก เหมือนมันจำภาพได้ แต่รายละเอียดยังไม่เข้าถึง แหะๆ
8. ใช้เวลาในการเข้าชมประมาณ 20 นาที ไม่รวมห้องแกลอรี่ แต่รู้สึกถึงความนานกว่านั้นเยอะเลย
Dom & Old court Bamberg
หลังจากออกจาก New Residence ก็เดินไปที่ Dom และ Old Court ซึ่งอยู่ติดๆกันนั่นแหล่ะค่ะ
Dom Bamberg
Dom Bamberg หรือ Bamberg Cathedral
เรียกเป็นภาษาไทยว่า “มหาวิหารบัมแบร์ก”
สำหรับภาษาเยอรมันจะเรียกว่า Bamberger Dom หรือภาษาทางการเรียกเต็มๆว่า Bamberger Dom St. Peter und St. Georg
เพราะเป็นการรวมกันของสองโบสถ์ คือ St. Peter’s Church และ St. Georg’s Church สังเกตุว่าจะมียอดแหลมๆ 4 ยอด
ประวัติ Dom Bamberg
แรกเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1002 อีก 80 ปีต่อมา ก็เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ จึงบูรณซ่อมแซมขึ้นใหม่ โดยใช้เวลากว่าร้อยปี จึงแล้วเสร็จเมื่อประมาณศตวรรษที่ 13 ในสไตล์โรมาเนส
ภายในมีหลุมศพของผู้ก่อตั้งและภรรยาของเขา ซึ่งสร้างเป็นหินอ่อนสวยงาม
งานศิลปะที่สำคัญอีกชิ้นก็คือ Equestrian statue หรือเรียกว่า Bamberg Horseman ซึ่งเขาว่าหน้าตาดูเหมือน Hungarian king Stephan I
เอ๊ะ…แล้วเกี่ยวอะไรกับกษัตริย์ชาวฮังการี่ ตัวละครในประวัติศาสตร์ยุโรปเนี่ยะ เหมือนจะเกี่ยวพันกันเยอะเลยนะคะ
Old Court
Old Court ภาษาเยอรมันเรียกว่า Alte Hofhaltung
Old Court น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณนั้นเลยนะคะ
เพราะแรกเริ่มเดิมที Old Court เป็นพระราชวังของ Emperor Heinrich II (ไม่ค่อยอยากเรียกพระราชวังนะคะ เพราะมันดูเล็กๆ เหมือนโรงเก็บของมากกว่า)
ต่อมาเมื่อศาสนจักรได้แต่งตั้ง Bishop เข้ามาปกครองแทน ก็กลายเป็นที่พักของ Bishop ตั้งแต่ปี1007
และต่อมาประมาณศตวรรษที่17 พระสันตะปาปา ก็เลื่อนฐานะให้ Bishop ขึ้นเป็น Prince-Bishop (ช่วงนั้น Bamberg รุ่งเรืองและมีความสำคัญทางศาสนามาก)
จึงสร้าง New Residence ขึ้นใหม่ ให้ใหญ่สมฐานะ Prince-Bishops นั่นเองค่ะ
สำหรับ Old Court ที่เหมือนบ้านเก่า ก็กลายเป็นโรงเก็บ (เก็บอะไรไม่รู้นะคะ สมบัติเยอะ) และปัจจุบันก็เป็น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำเมืองบัมแบร์ก (Bamberg Historical Museum)
พูดถึง Bamberg Historical Museum เห็นแล้วก็น่าเข้าชมนะคะ เค้ามีทีวีเล่าประวัติคร่าวๆ ฟังไม่ออกหรอกค่ะ เห็นแต่ภาพ
แต่เดือนเมษายน ยังไม่เปิดให้เข้าชมค่ะ ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้มาอีก จะต้องเข้าให้ได้ค่ะ
Bamberg Historical Museum
เวลาทำการ พฤษภาคม – ตุลาคม 9.00 – 17.00 น. หยุดวันจันทร์
พฤศจิกายน – เมษายน เปิดเฉพาะส่วนจัดแสดงพิเศษ
สรุป
– เข้าชมโบสถ์ใช้เวลาแค่ไม่เกิน 10 นาที ด้านในใหญ่มาก มีอะไรให้ชมเยอะจริงๆค่ะ
– ภายในโบสถ์ด้านล่างมีห้องใต้ดิน มืดๆ ออกแนวน่ากลัวนิดหน่อยค่ะ เข้าแล้วต้องรีบออก แหะๆ
– โบสถ์เข้าฟรี(เกือบ)ทุกแห่ง แต่ถ้าจะบริจาคก็ดีค่ะ หรือจะจุดเทียนหยอดค่าเทียนไปหน่อยก็ได้ค่ะ
– สำหรับ Old court ไม่ได้เข้าอะไรเลยค่ะ ดูแต่ภายนอก
– แต่เป็นจุดนักพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ สงบดี
– สรุปแล้วถ้าจะเผื่อเวลาสำหรับ 2 ที่นี้ ก็แค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
– แต่ถ้าจะเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วยคงจะต้องเผื่อซัก 1-2 ชั่วโมง
ไป Michaelsberg Abbey Bamberg
จากนั้นไปต่อกันที่ Michaelsberg Abbey Bamberg ด้วยบัสสาย 910
ป้ายรถบัสที่อยู่ใกล้ New Residence และ Dom & Old court Bamberg คือป้ายชื่อว่า Domplatz ไปลงป้าย Michelsberg
บนรถบัสมีจอบอกป้ายถัดไปค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เห็นง่าย ดูไม่ยาก แค่ต้องกดกริ่งก่อนแค่นั้นเอง ไม่งั้นอาจไม่จอดค่ะ
ถึงแล้ว Michaelsberg Abbey Bamberg
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Michaelsberg Abbey หรือ Michelsberg Abbey หรือ St. Michael’s Abbey
ภาษาเยอรมันเรียกว่า Kloster Michaelsberg หรือ Michelsberg จะงงกับชื่อนี่แหล่ะ เรียกได้หลายชื่อจริงๆเลย
เป็น Monastery แปลว่า อาราม หรือจะเรียกว่าเป็นที่อยู่ และสำนักฝึกสงฆ์ ของพระของนิกายเบเนดิกทีนก็น่าจะได้ค่ะ
ประวัติ Michaelsberg Abbey Bamberg
สมัยที่จักรพรรดิเฮนรี่ ที่2 ที่ได้ย้ายราชสำนักมาจาก Wurzburg มาที่ Bamberg และตั้ง Bamberg ให้เป็นเมืองแห่งศาสนา ได้สร้างโบสถ์ไว้มากมาย
และเนื่องจากที่ Bamberg เป็นเมืองที่มีเนินเตี้ยๆเยอะแยะ ก็ทรงสร้างโบสถ์ไว้บนเนินแต่ละเนิน ทำให้แต่ละเนินมีชื่อเรียกตามชื่อโบสถ์ เช่น Michaelberg , Jacobberg , Domberg , Stephanberg
แต่โบสถ์แรกที่สร้างขึ้นก็คือ Michaelsberg นี่แหล่ะค่ะ
แต่ตั้งแต่ปี 1803 Michaelsberg แห่งนี้ได้กลายเป็น “บ้านพักคนชรา” แต่ส่วนของโบสถ์ก็ยังคงอยู่ และเรียกว่า Michaelskirche
มิน่าล่ะ ตั้งแต่ลงรถบัสแล้ว เห็นคนชราเข็นไม้เท้าเดินกันเยอะผิดสังเกตุ แต่สิ่งแวดล้อมก็เหมาะสมดีค่ะ
แต่บริเวณตึกรอบๆ ดูเหมือนเป็นสำนักงานมากกว่านะคะ มีรถจอดอยู่เต็มไปหมด
ขากลับขึ้นป้ายไหน
ที่ต้องเล่าวิธีกลับด้วยเพราะพวกเราไปรอผิดป้ายมาแล้วค่ะ
ก็คิดดูนะคะ ตามปกติ เราลงป้ายไหน เวลากลับเราก็ต้องขึ้นป้ายตรงข้ามใช่มั้ยคะ พวกเราก็ไปรอฝั่งตรงข้ามกับขามาแล้วค่ะ แต่พอถึงเวลาปุ๊บ รถมันไม่มา แต่มันกลับมาอีกด้านนึง
สรุปคือ เราลงป้ายฝั่งขวา (ถ้าหันหน้าเข้าหาทางเข้า Michaelsberg) ถ้าเราจะกลับเข้าเมือง เราก็ต้องขึ้นป้ายเดิมนะคะ
จากรูปด้านบน หมายเลข1 เป็นป้ายที่พวกเราลงตอนขามานะคะ
ส่วนหมายเลข2 เป็นป้ายที่พวกเราไปรอผิดค่ะ
ดูจากรูปนี้ จะเห็นว่า ปลายสายเป็น Wildensorg ซึ่งตัวแดงๆด้านซ้ายสุดเขียนว่า Michaelsberg นั่นคือป้ายที่เรายืนอยู่ค่ะ ส่วน ZOB ไม่มีอยู่ในนี้เพราะมันเลยมาแล้ว
ดูจากรูปจะเห็นว่า ตัวหนังสือแดงๆซ้ายมือสุด Michaesberg ส่วนปลายทางก็คือ ZOB ป้ายที่เราจะลงคือ Schranne
สรุปก็คือ บัสสาย 910 มันมี 2 เส้นทาง
เส้นทางสั้น(ป้ายหมายเลข1) ZOB – Michaelsberg(สุดสาย) – ZOB (ย้อนกลับไป ZOB)
เส้นทางยาว(ป้ายหมายเลข2) ZOB – Michaelsberg(ไปต่อ) – Wildensorg(สุดสาย) – Michaelsberg – ZOB
จำง่ายๆว่าลงป้ายไหน ขากลับก็ขึ้นป้ายนั้น เพราะมันสุดสายแล้วนั่นเอง
Bamberg Old Town
จาก Michaelsberg พวกเราก็นั่งบัสสาย910 กลับมายังตัวเมือง เพื่อเดินเมืองเก่าให้ทั่วกันค่ะ
ย่านเมืองเก่าของ Bamberg ดูไม่เก่าอย่างชื่อค่ะ แต่ก็ไม่ได้หรูหราเหมือนที่ Wurzburg และก็ไม่ได้ย้อนยุคอย่าง Rothenburg
Bamberg Old Town ให้อารมณ์กลางๆ ไม่หวือหวา แต่มีความผสมผสาน มีชีวิตชีวา ไม่เรียบ แต่ก็ไม่หรู ธรรมดาๆ แต่สวยงาม สีสันออกแนวทึมๆ
สิ่งก่อสร้างต่างๆดูเป็นยุคเก่าทั้งหมด แทบจะไม่เห็นตึกสมัยใหม่ หรือตึกที่จงใจตกแต่งให้ดูเก่าเลย เหมือนมันเป็นของดั้งเดิมจริงๆ
และเชื่อมั้ยคะว่า Bamberg Old Town ได้ถูกขึ้นทะเบียนมรดกโลกทั้งเมือง ...ย้ำว่าทั้งเมือง!! ไม่ใช่แค่ตึกใดตึกหนึ่ง คือเป็น “เมืองมรดกโลก” จริงๆนะคะ
จุดที่ชอบที่สุดใน Bamberg Old Town
จุดที่อยากยืนดูนานๆคือ บริเวณสะพานเก่า จะมองเห็น Altes Rathaus ที่มีคนมาเล่น surfing มองไปอีกด้านจะเห็นบ้านติดลำคลองซึ่งได้รับฉายาว่า “Little Venice”
จุดนั้นจะมองเห็นบ้านเรือน เรือ แม่น้ำ เสียงน้ำไหล เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ
ประวัติเมือง Bamberg (คร่าวๆ)
เมือง Bamberg ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 902 เคยอยู่ในอาณาจักรฟรังโคเนีย ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิชาลเลอมาญ(จักรพรรดิองค์แรกของ Holy Roman Empire)
ต่อมาปี 1007 จักรพรรดิเฮนรีที่2 ก็ย้ายราชสำนักจาก Wurzburg มายัง Bamberg จักรพรรดิองค์นี้เคร่งศาสนามาก ถึงกับตั้ง Bamberg ให้เป็น “เมืองแห่งศาสนา”
ทรงสร้างโบสถ์ไว้มากมาย รวมถึงมหาวิหารกลางเมือง (Dom Bamberg) และสำนักฝึกสงฆ์มิคาเอล (Michael Monastery) ด้วย
นอกจากนี้ยังสร้างโบสถ์ไว้ประจำบนเนินเขาต่างๆ ถึง 7 เนิน แต่ละเนินก็จะได้ชื่อตามชื่อโบสถ์นั้นๆไปด้วย
ช่วงประมาณปี 1020 พระสันตะปาปาได้มาเยี่ยมเมือง Bamberg ทำให้ช่วงนั้น Bamberg กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของ Holy Roman Empire อีกด้วย
และช่วงศตวรรษที่13 ได้มีการเลื่อนฐานะของผู้ปกครองเดิม (Bishop) ให้เป็น Prince-Bishop และได้มีการขยายอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง (แต่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ไม่ถึงครึ่งของอดีต)
แต่มีอยู่ยุคนึง (ประมาณศตวรรษที่17) เป็นยุคล่าแม่มด Prince-Bishop สั่งล่าคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด แล้วขังคุกไว้ด้วยค่ะ (ไม่รู้อยู่ตรงไหน เพราะปัจจุบันไม่มีแล้ว)
เมือง Bamberg ยังเคยเป็นศูนย์บัญชาการของพรรคนาซี และเป็นที่ฝึกทหารอีกด้วยนะคะ
เห็นประวัติแบบนี้ คงมองข้ามเมืองเล็กๆอย่าง Bamberg นี้ไปไม่ได้แล้วนะคะ แสดงว่าต้องเป็นจุดสำคัญ และมีประวัติศาสตร์มากมายที่เมืองแห่งนี้
สถานที่ที่สำคัญในเขต Bamberg Old Town (เฉพาะที่ได้เดินผ่านนะคะ)
Geyerswörth Palace (Schloss Geyerswörth)
วังของ Prince Bishop ถูกสร้างขึ้นใน 1585-1587 ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำ Renitz ตรงข้ามกับ Altes Rathaus
ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่ทำการทางราชการของเมือง (คล้ายๆเป็นที่ตั้งขององกรค์สังคมสงเคราะห์)
Green Market (Gruner Markt)
ตลาดนัดกลางแจ้งใกล้โบสถ์ St.Matin มีขายสินค้าและพืชผลต่างๆ ของชาวเมือง มีร้านค้าพอสมควร แต่จะปิดวันอาทิตย์
ช่วงที่พวกเราเดินผ่านเขากำลังเก็บร้านกันเกือบหมดแล้วค่ะ ใครอยากเดินตลาด ควรไปก่อน 6 โมงเย็นนะคะ
แต่เห็นวิธีเก็บร้านของเขาแล้ว สมกับเป็นเยอรมันจริงๆค่ะ แผงที่เขาใช้วางของขาย จริงๆมันคือตู้คล้ายๆคอนเทนเนอร์ ที่มีล้ออยู่ข้างล่าง แค่กางกันสาด กางร้านออกมา
เวลาเก็บร้านก็เหมือนปิดบ้าน แล้วก็เอารถคล้ายๆรถส่งของ ไม่ได้เอามาใส่ร้านนะคะ แต่เอามาลากร้าน กลายเป็นรถพ่วง สะดวกดีจริงๆค่ะ
Altes Rathaus
สร้างขึ้นตอนปี 1386 แต่สร้างใหม่เมื่อปี 1744-1756 เป็นศาลากลางที่เดียวที่ตั้งอยู่กลางสะพาน นอกจากเล็กกระจิ๊ดอย่างกับกระท่อมแล้ว ยังแถมยื่นออกมาเหมือนเป็นส่วนเกินอีกด้วยค่ะ
เล่ากันว่าเนื่องจาก bishop ท้องถิ่นที่เคยปกครองเมืองนี้ ไม่อยากไปเบียดเบียนที่ดินของชาวบ้าน ก็เลยขออยู่บนสะพานแทนแบบนี้แหล่ะค่ะ (ช่างถ่อมตน และพอเพียงจริงๆ)
สมกับเป็นเมืองศาสนามั้ยล่ะคะแบบนี้
Church of St. Martin
สร้างเมื่อปี 1693 สร้างในสไตล์ Barouqe ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ตลาดนัด ท่ารถZOB และ จัตุรัสMaximilian platz
สรุปตั๋วเดินทาง เที่ยว Bamberg
1. VGN TagesTicket Plus ราคา 18.7 ยูโร ใช้เดินทางจาก Rothenburg มา Bamberg และการเดินทางภายใน Bamberg ได้ด้วยค่ะ
2. 14-days ticket ที่ซื้อมาตั้งแต่ Wurzburg
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ