โตเกียว13
2 เมษายน 2556 วันที่เก้าของการเดินทาง
Kamakura – Hase – Enoshima – Ofuna – Ishikawacho
การเดินทางวันนี้ ไม่ได้เจาะจง หรืออยากไปอะไรเป็นพิเศษ
แค่ไปเพราะเป็นสถานที่ ที่คนอื่นๆเขาไปกัน ไปเพื่อจะได้รู้ว่าคนอื่นเขาไปเห็นอะไร
เพราะอย่างที่บอกคือ ไม่ได้ชอบเที่ยววัด ไปให้ครบเควสก็พอ
วันนี้ตื่นแต่เช้า ตี 4 ครึ่ง กว่าจะเตรียมตัวเสร็จ ก็ออกจากที่พัก 6 โมงเช้า
เติมพลังด้วยข้าวหน้าไก่เทอริยากิ ที่โยชิโนยะเจ้าเก่าข้างโรงแรม อร่อยมาก และคุ้มราคาจริงๆ
แต่ฝนตกปรอยๆ ทำให้อากาศหนาวกว่าเดิมมาก ขาที่เจ็บก็ยังเจ็บขึ้นเรื่อยๆ
นึกย้อนดูแล้ว รู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ฝืนตัวเอง งกเวลาขนาดนั้น
ถ้าวันนั้นเห็นฝนตก น่าจะกลับขึ้นไปนอนพัก
หรือเปลี่ยนโปรแกรมให้วันนี้เป็นวันพักผ่อน เที่ยวใกล้ๆ
แต่ในอารมณ์ตอนนั้นมันงกเวลา ทุกวินาที ทุกๆวันมีค่า ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมากันได้บ่อยๆ
โปรแกรมที่จัดไว้ ก็แน่นซะจนสองแถวระแวกบ้านยังต้องอาย
แต่เอาเข้าจริงยังทำตามโปรแกรมได้ไม่ถึง 50% เลย
เริ่มต้นการเดินทางโดยเดินจากโรงแรม ไปยังสถานี Bakurocho
เจ็บเท้า แต่ใจสู้ ค่อยๆกระย่องกระแย่งไป จากแผนที่ JR
เรานั่งสาย Yokosuka Line Sobu Line (Rapid-Service)
สายสีน้ำเงินเข้ม ต่อเดียวถึง Kamakura
ไม่ต้องเปลี่ยนสายใดๆ แต่ฝนก็ยังตกปรอยๆเหมือนเดิม
เดินฝ่าฝนไปเรื่อยๆ ตามทางที่ปริ๊นแผนที่มา
หาเสาสีแดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าญี่ปุ่น
แทบจะไม่มีคนเลย ร้านค้าต่างๆก็ยังไม่เปิด
ดอกซากุระที่บานเต็มที่ ก็เริ่มร่วงโรยมาตามสายฝน โปรยเต็มพื้น
เริ่มมีใบสีเขียวแทรกโผล่ขึ้นมาแล้ว ก็ดูสวยไปอีกแบบ
เดินจนมาถึง ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachiman-gu Shrine
ก็ไม่รู้เขามาดูอะไรกันนะ ไม่ค่อยอินเลย คงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แหละ
เพราะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเป็นกลุ่มๆด้วย ฝนตกตลอดทาง
เราขึ้นไปเดินผ่านๆ รอบนึงแล้วก็รีบออกมา ย้อนกลับไปทางเดิม
คิดในใจว่า เราจะถ่อสังขารเดินมาตั้งไกลทำไมเนี่ยะ
กลับมาที่สถานี kamakura เข้าห้าง Tokyu ดีกว่า เพื่อหลบฝน และหลบหนาว
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า เราเป็นพวกโรคจิต ชอบเดินดูซุปเปอร์มาเก็ต
ดูเฉยๆนะ ไม่ซื้อ แต่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานทีเดียว
ใครเคยไปเกตเวย์แถวอโศก ของหลายๆอย่างก็คล้ายที่นี่แหละ แต่ที่ Gate way แพงกว่าอีกนะ
ไปต่อกันที่ สถานี Hase เพื่อไปเข้า Daibutsu หรือที่เขาเรียกว่าวัดพระใหญ่
แต่เราเรียกวัดหลวงพ่อโต เสียค่าเข้านิดหน่อย 200 เยนมั๊ง
ฝรั่งเต็มเลย รถทัวร์ก็วิ่งเข้าวิ่งออกกันตรึม
ฝนก็ยังตกเหมือนเดิม ถ่ายรูปไป กล้องเปียกไป กล้องถูกไม่เสียดาย แต่เสียดายเวลา
เรามาทำอะไรกันที่นี่เนี่ยะ เข้าไปเจอพระองค์ใหญ่ ถูกขังอยู่ในรั้ว
มองจากด้านนอกไม่เห็น เหมือนชวนให้นักท่องเที่ยวสงสัยอยากรู้ เสียเงินเข้าไปดู
ปรากฏว่าก็มีแต่พระ ในตัวพระยังมีให้ลอดเข้าไปได้ด้วย เสียแค่ 10 เยนมั๊ง
แต่เราไม่อินเลย รู้แต่ว่าพระองค์นี้มีประวัติอันยาวนานเป็นพันปีแล้ว
แต่เราไม่ได้อินกับเรื่องนี้เลยรู้สึกเฉยๆ รีบออกไปต่อ
อีกวัดหนึ่งใกล้ๆ ในไกด์บุ๊คแนะนำ ว่าสวยงั้นสวยงี้ (Great Kannon)
เป็นเจ้าแม่กวนอิมขนาดมหึมาทีเดียว แต่เราไม่อินกับความสวยของวัดเลย
อาจเป็นเพราะ ทั้งฝนตก ทั้งเจ็บเท้าด้วย
ทีแรกคิดว่าตัวเองเป็นพวกมารศาสนาสุดๆ แต่จริงๆไม่ใช่นะ
เราไม่ได้ทำบาปตัดเสียพระขาย ไม่ได้ทำกิริยาไร้มารยาทกับพระพุทธรูป
แต่ศรัทธากับหลักความเป็นจริง หลักคำสอนที่สามารถใช้กับตัวเองได้
ไม่ได้ยกย่องบูชาพระพุทธรูป ดูก็แค่สวย ใหญ่ มีประวัติเท่านั้นเอง
ไม่ผิดใช่มั้ย เอาเป็นว่า ที่แบบนี้ไม่ใช่สเป๊คแล้วกัน
นั่งรถไฟต่อไปลงสถานี Enoshima แล้วเดินข้ามสะพาน ต่อไปยังเกาะ Enoshima
การวางโปรแกรมเที่ยวที่นี่ ไม่มีอะไรมาก เหตุเพียงเพราะ อยากเห็นหาดทราย และทะเล ชายฝั่ง ว่าจะสู้เมืองไทยได้มั้ย
แต่พอไปถึงจริง มองหน้ากัน แล้วถามว่า เนี่ยะหรอหาดทรายเขาน่ะ
ไม่เห็นเหมือนในรูปเลย ทรายทำไมมันดำจังล่ะ
มีคนเดินอยู่ 2 คน เดินเลียบชายฝั่ง เหมือนเป็นเหมืองถ่านหินมากกว่าชายหาดนะ
มาผิดที่หรือเปล่า หรือนี่มันหน้าหนาวทรายเลยดำ แล้วก็เดินข้ามสะพานขึ้นเกาะ
ตั้งใจจะเดินขึ้นไปให้ถึงชั้นบนๆเลย แหม…ไม่เจียมสังขารเอาซะเลย เท้าก็เจ็บ แต่ใจสู้
แต่เอาเข้าจริง ไต่ไปถึงแค่ที่เขาขายตั๋ว เป็นบันไดเลื่อนขึ้นไป ไม่ต้องเดิน
ข้างๆเป็นแผนที่ ไม่รู้เอามาขู่หรือเปล่า เพราะมันทำให้รู้สึกว่า
โอ้โหว… อีกไกลขนาดนั้นเชียว ดอยสุเทพยังอาย
มาสิมาใช้บริการบันไดเลื่อนเค้าดีกว่านะตะเอง แค่ 350 เยนเท่านั้น
รู้สึกว่ามันก็ถูกนะ สำหรับชาวญี่ปุ่นน่ะ แต่ตกคนละ ร้อยกว่าบาท
อย่าได้คิดว่าจะได้กินเงินในกระเป๋าเดี๊ยนเลยค่ะ
ฝนก็ตก ขาก็เจ็บ แต่ถ้าขาไม่เจ็บ อาจจะลองเดินก็ได้
เห็นแล้วเหนื่อย ขึ้นไปก็ไม่ได้มีอะไรที่ถูกสเป๊คเราเลย
มีแต่พวกวัด ประภาคาร (ดูจากไกด์บุ๊ค ไม่ได้ขึ้นไปจริงๆหรอก)
กว่าจะขึ้นจะลงมาอีก คงใช้เวลาหลายชั่วโมง ขึ้นแค่นี้ยังไม่ถึง 10%เลย
ถ้าขืนเดินต่อไป คงต้องตัดขาแน่ ถ้ามาเที่ยวเชิงธรรมชาติแบบนี้ เที่ยวเมืองไทยก็ได้
คิดดังนั้นแล้ว จ้ำย้อนกลับทางเดิมทันที
ถึงแม้ที่แห่งนี้ จะมีประวัติที่เล่าต่อๆกันมาคล้ายนิทาน ความเชื่อ
แต่เราก็ไม่ได้สนใจ ไม่ใช่ของเขาไม่ดีนะ ของเขาน่ะดี แต่ตัวเราเองอ่ะไม่ดี (รู้ตัว)
เพราะเหตุผลส่วนตัวคิดว่า เป็นสตอรี่ที่แต่ละสถานที่เล่าขานกัน
เป็นเทพนิยายเกินความจริง ถ้าไม่มีสตอรี่ ก็ขายไม่ได้ ยิ่งมีสตอรี่ คนยิ่งอิน
ที่พูดนี้ไม่ได้ต่อต้านอะไรเลย และเห็นด้วยกับการท่องเที่ยวที่ต้องมีสตอรี่
ที่เรามาญี่ปุ่นก็เพราะสตอรี่ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าจะชอบสตอรี่แบบไหน
สรุปแล้วเกาะแห่งนี้ รู้สึกดีได้อย่างเดียวคือ ลมทะเล กลิ่นเกลือ
ได้เห็นทะเล (ทำอย่างกับเกิดมาไม่เคยเห็นแน่ะ)
ส่วนเรื่องอาหาร อย่าได้พูดถึง เหมือนไปหัวหิน นั่งกินแป๊ะซะ ถาดละ 500 บาท
ไปพัทยา ส้มตำจานละ 100 จะบ้าหรอ อาหารบ้าอะไร แพงขนาดนี้
ขั้นต่ำก็ 1000 – 2000 เยน แถมเป็นอาหารทะเล
ปลาที่เห็นอยู่ทุกร้านคือ ปลาข้าวสาร ที่เรากินกันนี่แหละ
ทะเลก็อยู่ใกล้แค่นี้ ทำไมแพงกว่าในเมืองตั้งเยอะ
ขอกลับมากินของไทยดีกว่า เห็นแล้วกินอะไรไม่ลง
แต่อีกนั่นแหละ นักท่องเที่ยวที่เห็นส่วนใหญ่ คือคนญี่ปุ่นอีกแล้วง่ะ
ต่อแถวกันเข้าร้านด้วย ขนาดต้องรอคิว หิ้วท้องก็ยอมอ่ะ ทำไมๆๆ
อย่างถ้าเราไปพัทยา หัวหิน มีร้านอาหารแพงๆ เราก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเขาขายฝรั่ง
แต่ที่นี่คนญี่ปุ่นกิน ญี่ปุ่นใช้ทั้งนั้นเลย แถมต่อแถวยาวเหยียดอีก งงอ่ะ
ขออภัยน้าา…ที่รีวิวแบบไม่ประทับใจไปหน่อย
ก็ตอนนั้นมันเจ็บเท้ามาก แล้วฝนก็ตกด้วย เลยไม่มีอารมณ์จะเดินแล้ว
ถ้าไม่เจ็บเท้า ฝนไม่ตกก็อาจสนุกกว่านี้ก็ได้
เดินย้อนกลับทางเดิม เพื่อไปขึ้น cable car เป็นคล้ายรถไฟโมโนเรล
แต่แทนที่จะเป็นรางอยู่ใต้รถไฟ แต่เป็นรางบนหลังคารถไฟ
คือเป็นรางข้างบนแล้วห้อยตู้รถไฟไว้ แล้วก็วิ่งไป
คือเรื่องของเรื่อง คืออยากลองนั่งไอ้เจ้า cable car เท่านั้นเอง
จะนั่งกลับไปทางเก่า ผ่าน kamakura ก็ได้ ถูกกว่าด้วย
แต่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ จึงตัดสินใจลองนั่งเจ้า cable car นี้
ซึ่งสถานีเจ้าเคเบิ้ลคานี้ ก็อยู่ด้านหลังของสถานี Enoshima ไม่ห่างกันเท่าไหร่
สนุกไปอีกแบบ เห็นบ้านเรือนเหมือนในการ์ตูนเลย
ไม่เหมือนสิงคโปร์ที่ดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เลย
ที่เหมือนมีเทพเจ้ากำลังใช้ทรัพยากร เล่น sim city ยังไงยังงั้น
แต่ที่ญี่ปุ่นมีชีวิตชีวากว่าเยอะเลย
ระหว่างทางที่นั่ง Cable car ซึ่งวิ่งเร็วมาก ทางโค้ง รถไฟก็จะถูกเหวี่ยงเอียงตาม
แต่ไม่หวาดเสียว จำได้ว่ามันสนุกตื่นตาตื่นใจดี
แต่ต้องนั่งโมโนเรลนี้ไปถึงได้แค่สถานี Fujusawa แล้วค่อยต่อJR ไปสถานี Ofuna อีกที
เราเดินเล่น เที่ยวชมเมือง เจอร้านราเม็ง ซึ่งก็เล็งไว้ว่าอยากกิน ราเม็งของญี่ปุ่นดูสักครั้ง
จริงๆไม่ได้ชอบกินราเม็งหรอก แต่อยากลองแค่นั้นเอง ร้านชื่ออะไรไม่รู้ ขึ้นต้นด้วยตัวกลมๆ
อ่านออกอย่างเดียว 390 เยน เลยลองดู เห็นว่าร้านนี้มีหลายสาขา
จริงๆมาสังเกตุทีหลัง อยู่ใกล้ที่พักเราก็มี
โธ่…ถ่อสังขารไปถึง Ofuna เพื่อไปกินราเม็ง แต่ตอนนั้นมันก็หิวด้วย
เข้าไปนึกว่าจะเป็นแบบหยอดเหรียญ แต่ดันเป็นสั่งกับพนักงาน
พนักงานมาถึงก็พ่นใหญ่เลย เราก็เอ่อ…ขออิงลิชเมนูได้มั้ย
แต่ไม่มี เลยต้องดูแต่รูป เมนูอ่านไม่ออกเลย เห็นแต่รูปกับราคา ก็จิ้มๆสั่งไป
ระหว่างนั่งรอ มีคุณลุงผอมๆ และคุณป้าอวบๆ นั่งข้างๆ
ก็ยิ้มใส่กันเป็นการทักทาย ลุงท่าทางเมาๆ ก็พูดอะไรไม่รู้ใส่ใหญ่เลย
เราก็แกล้งพูดเป็นภาษาไทย ว่าฟังไม่รู้เรื่องจ้าลุงจ๋า
ลุงก็ยังพ่นๆๆ อะไรมาไม่รู้ เรายิ้มลูกเดียว
เราก็ถามเป็นภาษาอังกฤษไป แต่ลุงก็ฟังไม่ออก
คุณป้าก็พยายามจะห้าม ไม่ให้เมาใส่เรา
ประมาณว่า พอเถอะแก อย่าไปรบกวนหนูๆเขา
แต่เราก็พูดอังกฤษไป เขาก็พูดญี่ปุ่นกลับมา พูดกันไปกันมา ก็ยิ้มใส่กัน
รู้เรื่องได้ไงไม่รู้ แต่เขารู้จักเมืองไทยด้วยล่ะ
พอเห็นราเม็งที่สั่งมา ลมแทบใส่ เพราะมันชามใหญ่เกินพิกัด
เราเลยหยิบเมนูมาดู ว่ามันมีหลายขนาด แล้วดันเผลอสั่งขนาดใหญ่พิเศษมาหรือเปล่า
แต่ก็มีขนาดเดียว คิดในใจว่า อาจเป็นคล้ายๆเวลาสั่งก๋วยเตี๋ยวที่เมืองไทย
ไม่ได้พูดว่าพิเศษเลย แต่ให้พิเศษมาประจำ
จนต้องพูดกำกับราคาไว้ด้วยว่าจะเอา 35 หรือ 40บาท อะไรทำนองนี้ป่าว
ตายล่ะสิ ชามละเท่าไหร่ฟระนี่ แล้วจะกินหมดมั้ย
ในด้านรสชาติ ด้วยลิ้นจรเข้อย่างเรา รู้สึกแต่ว่าน้ำซุปมันเข้มข้นอร่อยมาก
แต่น้ำมันเยิ้มเชียว เค็มอีกต่างหาก ส่วนเรื่องเส้น นุ่มดี แต่ไม่ชอบ
นอกนั้นก็มีแต่ถั่วงอก กับต้นหอมนิดหน่อย มีหมู (เรียกชาชูหรือเปล่านะ) นุ่มดีเหมือนกัน
แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจ เหมือนอาหารอย่างอื่นๆ เช่นซูชิ หรือแกงกะหรี่
ถ้าจะให้คะแนนความชอบราเม็งเต็มสิบ ขอให้แค่ 5/10แล้วกัน
ปริมาณมันเยอะ จนกินไม่หมดด้วย เลยโอนให้คุณสามีกินครึ่งนึง
พอกินเสร็จแทบจะอ้วกกันเลย เดินแรงๆไม่ได้ มันจะออก
เกี๊ยวซ่าสั่งมาเพิ่ม ก็อร่อยใช้ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกอร่อยกว่าโออิชิเลย จริงๆโออิชิอร่อยกว่าอีก
เดินเข้า Lawson มีร้าน 100 เยน ด้วย เดินเข้าไปได้อยู่ตั้งนาน
คิดโทษตัวเองว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปเสียเวลากับซุปเปอร์มาเก็ตซะครึ่งนึง โรคจิตที่อยากหาของถูก
จากนั้น ก็เดินทางต่อไปย่าน Yokohama
แต่ลงสถานีชื่อ Ishikawacho เพื่อไปไชน่าทาวน์
ไม่ได้หวังอะไรมากกับที่นี่ และฝนก็ยังคงตกอยู่
ลงรถไฟออกมา เจอซุปเปอร์มาเก็ตอีกแล้ว เสร็จเราอีก
เฮ้อ…กลุ้มใจกับโรคติดซุปเปอร์มาร์เก็ต
กว่าจะเดินไปถึงไชน่าทาวน์ ก็เริ่มจะมืดแล้ว เดินไปไกลพอสมควร
ไม่รู้ว่าไปทางไหนหรอก แต่เดินตามเสาสีแดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของจีนๆ
ก็จะรู้ได้เอง ว่าต้องเดินไปทางไหน ไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย
เพราะไม่ได้หวัง เพราะมีแต่ภัตตาคาร ร้านอาหารแพงๆ
บรรยากาศไชน่าทาวน์ที่สิงคโปร์ทำได้ดีกว่า เดินสนุกกว่า มีของขายเยอะกว่า
ตั้งแต่มาไชน่าทาวน์ ฝนเริ่มตกหนักขึ้นนิดนึง ลมแรงด้วย หนาวอีก
ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปอะไรแล้ว เดินไปเดินมา เจอร้าน lawson 100 เยนอีกแระ
แต่ไม่ใช่ Daiso ของที่ขาย น่าจะเป็นของที่ผลิตจากจีน และเกาหลี
แต่ยังไงก็ดีกว่าซื้อที่ daiso ไทยละกัน 60 บาทแน่ะ จึงเสียเวลาที่นี่อีกนาน
ขากลับไปสถานีรถไฟฟ้า เกิดหลงทางซะงั้น จำทางกลับไม่ได้
เดินมาทั้งวัน เจ็บเท้า เริ่มออกอาการหงุดหงิด งอแง งอนคนนำทางซะเฉยเลย
แต่ในที่สุดก็คลำหาทางกลับจนได้
จบวันนี้กลับโรงแรม ด้วยความเซ็งเพราะฝนตกทั้งวัน ความเจ็บเท้ามากขึ้น
คิดในใจว่า วันนี้เราไม่น่าถ่อสังขารออกไปเลย เก็บตัวรักษาเท้าดีกว่า
แต่ที่ได้ และรู้สึกชอบอยู่ ก็น่าจะเป็น บริเวณบ้านเรือน ที่ดูเป็นสไตล์อนุรักษ์
ยังคงความเป็นญี่ปุ่นได้ดี ถนนหนทางที่สะอาด
แม้ว่าฝนตกทั้งวัน ก็ไม่เคยเดินไปเจอน้ำท่วมขังตรงไหนเลย
คิดว่าถ้ามาแบบฝนไม่ตกก็คงสวย อารมณ์ดี และประทับใจมากกว่านี้ (ถ้าเท้าไม่เจ็บด้วย)
รีบกลับมาถึงโรงแรม ตอนประมาณ 3 ทุ่ม เพราะต้องซักผ้า
ห้องซักผ้าจะปิดตอน 4 ทุ่ม เตรียมการซัก ด้วยการยัดสิ่งที่จะซักเข้าไป มีผงซักฟอกให้
หยอดเหรียญครั้งละ 200 เยน เราซักถุงเท้าในห้องน้ำก่อน ส่วนเสื้อกับกางเกงก็ใส่ถังปั่นไป
แต่ไอ้ตอนปั่นแห้งนี่สิ มันเหนือความคาดหมายของคนเมืองร้อนอย่างเรา
เพราะนึกว่าใส่ผ้าไปปั่นแห้งครั้งเดียว มันจะแห้งออกมาพับเก็บได้เลย
ปั่นไป ครั้งแรก 100 เยน ออกมา เหมือนเอาผ้าไปต้มน้ำ ให้แค่ร้อนเฉยๆ
ก็เลยเอาใหม่ เอาผ้าออกเหลือแค่ครึ่งนึง หยอดไป 100 เยน
ออกมา พอหมาดๆ แต่ก็ยังไม่แห้ง ก็หยอดไปอีก 100 เยน ก็ยังไม่แห้งอีก
อุบ๊ะ อะไรวะ ชักโมโหแล้ว เลยเอามาตากทั้งหมาดๆในห้องนี่แหล่ะ
วันต่อมา ปรากฏว่ายังไม่แห้งอีก ก็เลยเอา ไดร์เป่าผมนี่แหล่ะ
แล้วคัดเอาตัวที่หนาๆ ไปปั่นแห้งอีก ตกลงเสียค่าปั่นแห้งไป เท่ากับซื้อกางเกงได้อีก 2 ตัวเลยนะเนี่ยะ
รู้งี้ไม่ซักดีกว่า ใส่ซ้ำหลายๆรอบ หรือเอาตัวอื่นมาเพิ่มดีกว่า
แนะนำเลยว่าใครจะซัก ก็ให้ซักแค่ไม่เกิน 5 ชิ้น ถ้าเป็นกางเกงหนาๆ ยีนส์ ก็ได้แค่1-2 ตัวเท่านั้น
ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาว ฝนตก ฝันไปเลยว่าผ้าจะแห้ง ทริปนี้ถ้าไม่มีเครื่องเป่าผม คงจะแย่แน่ๆ
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
Family Mart 686 เยน
ขนมที่ ห้าง Tokyu Kamakura 747 เยน
ราเมง ที่ Ofuna 1240 เยน
ร้าน Lawson 100 yen ที่ ChinaTown Yokohama 1155 เยน
ค่าเข้า daibutsu 2คน 400 เยน
ซักผ้า 200 เยน
อบผ้า 300 เยน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ