เที่ยวยุโรป SS1 D21 เที่ยว Lake Wolfgang
เช้านี้พวกเรานั่งบัสสาย 150 จาก Salzburg ไปลง St.Gilgen เพื่อขึ้นเรือล่องทะเลสาบวูลฟ์กัง Lake Wolfgang จากนั้นไปลงเรือที่ท่า Schafbergbahn จากนั้นก็นั่งบัสสาย 546 จาก St.Wolfgang ไปค้างที่ Bad Ischl กัน 1 คืนค่ะ
วิธีไป St.Wolfgang จาก Salzburg
วิธีที่1. ขึ้นบัสสาย 150 จาก Salzburg ลงป้าย St.Gilgen คนละ 6.8 ยูโร แล้วนั่งเรือ ไปลง St.Wolfgang อีก 7.4 ยูโร
บัสสาย 150 นี้จะไปสุดสายที่ Bad Ischl ถ้าใครที่อยากเที่ยว St.Wolfgang แบบชะโงกทัวร์ ก็ไม่ต้องลง ไปลงสุดสาย แล้วไปต่อที่อื่นได้เลย (10.7 ยูโร)
วิธีที่2. ขึ้นบัสสาย 150 จาก Salzburg ลงป้าย Strobl แล้วต่อบัสสาย 546 ย้อนกลับมาลง St.Wolfgang อีกที รวม 9.7 ยูโร
(ราคาที่บอกเป็นของปี 2016-2017)
วิธีไป St.Wolfgang จาก Hallstatt หรือ เวียนนา
ยังไงก็ต้องมาลงรถไฟที่ Bad Ischl ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟที่เดียวในระแวกนั้น ที่ใกล้ที่สุดแล้ว จากนั้นก็ต่อรถบัสสาย 546 อีกที
สำหรับพวกเราเลือกแบบลูกผสมค่ะ
นั่งบัสสาย 150 จาก Salzburg มาลง St. Gilgen ต่อเรืออีกที ไปลง St. Wolfgang im Salzk. Schafbergbahn แล้วเดินไปท่า St.Wolfgang im Salzk. Markt จากนั้นนั่งบัสสาย 546 ไปลง Bad Ischl และค้างที่ Bad Ischl ค่ะ
St.Wolfgang มีสถานีรถไฟมั้ย
ที่นี่ไม่มีสถานีรถไฟนะคะ (มีแต่รถไฟท่องเที่ยวขึ้นเขา) ดังนั้นจะมาได้ ต้องนั่งบัสเท่านั้น
การค้นหาวิธีการเดินทางก็เหมือนกับเมืองอื่นๆค่ะ เข้าเวป fahrplan.oebb.at ใส่ต้นสาย ปลายทาง ถ้าไม่รู้ชื่อก็สามารถกด Show map หรือจิ้มเอาจากแผนที่ในกูเกิลก็ได้ค่ะ
ท่าเรือมีจุดจอดท่าอะไรบ้าง
จุดแรก ท่าเรือ St. Gilgen
เป็นท่าเรือเริ่มต้นการล่องทะเลสาบ มีเมืองเล็กๆ ที่ตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร แต่พอมาถึงแล้ว ต้องเลื่อนเวลาเรือออกไปเลยค่ะ เพื่อเดินสำรวจเมืองนี้ให้ทั่ว (ลากกระเป๋าเดินด้วยนะ) เมืองนี้ใช้ได้เลยนะคะ สวย ท้องถิ่นจริงๆ น่าจะให้เวลาอย่างน้อย 1 ชม.ค่ะ
ท่าที่2 ชื่อ Fürberg และท่าที่3 ชื่อ Ried
สองท่าเรือนี้เป็นสถานตากอากาศ ไม่เห็นมีเมืองอะไรนะคะ มีแต่เกสเฮ้าส์ดูดีๆ ถ้าไม่ได้จองที่พักไว้นอนเล่นที่นั่น อย่าลงนะคะ ไม่งั้นต้องซื้อตั๋วใหม่นะ เดินไปก็ไกลมากๆด้วย
ท่าที่4 ชื่อ St. Wolfgang im Salzk. Schafbergbahn
เป็นท่าเรือสำหรับคนที่จะขึ้นรถไฟสายคลาสสิค ขึ้นเขา Schafberg ค่าเรือจาก St. Gilgen มาที่นี่คนละ 4.7 ยูโร
พวกเราก็ลงท่านี้เพราะอยากไปดูรถไฟ ไม่ได้ขึ้น ขอไปเกาะขอบรั้วก็ยังดี ถ้าขึ้นรถไฟไปกลับ 35 ยูโร ใช้เวลาขึ้น 35 นาที เป็นเส้นทางที่สวยมากๆ น่าสนใจสำหรับคนมีเวลาและจัดงบไหวนะคะ
ท่าที่5 ชื่อ St.Wolfgang im Salzk. Markt
เป็นท่าเรือที่อยู่ใจกลางเมือง St. Wolfgang ที่สุด และมีคนรอขึ้น และรอลงเยอะที่สุด ค่าเรือจาก St. Gilgen มาที่นี่คนละ 4.7 ยูโร
ท่าที่6 ชื่อ Gschwendt-Parkplatz
เป็นทางฝั่งตรงข้าม (อันนี้ไม่ค่อยรู้นะคะ)
ท่าที่7 ชื่อ Strobl
เป็นท่าเรือสุดท้าย เป็นเมืองที่ใหญ่พอๆกับ St. Gilgen เมืองนี้พวกเราไม่เคยไปค่ะ คิดอยากไปดูเหมือนกัน แต่คงเสียเงิน เสียเวลาเยอะขึ้น ก็เลยไม่ไปค่ะ
Salzburg
เวลาขึ้นรถ ถ้ามีกระเป๋า ต้องเปิดด้านข้างเอากระเป๋าใส่ก่อนนะคะ เพราะเขาไม่ให้นำกระเป๋าขึ้นค่ะ แล้วคนขับก็ไม่ได้มาเปิด และไม่ได้มาบริการยกให้เรานะ ต้องช่วยเหลือตัวเองค่ะ แต่ก็ทำให้รู้ว่าการเดินทางแบบมีกระเป๋าลากก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
นั่งรถนานพอสมควรนะคะ ประมาณ 20-30 นาที แต่ไม่ต้องกลัวเบื่อค่ะ เพราะวิวแถวนั้นสวยมากๆจริงๆ หลับไม่ลงเลย
St.Gilgen
ถึงแล้วค่ะ St.Gilgen ZOB คือท่ารถบัสหลักของเมือง St.Gilgen เดินมาอีกนิดเดียวก็เจอกระเช้าขึ้นเขาด้วย แต่เราไม่ได้จะขึ้นเขานะ พวกเราจะไปลงทะเล ก็ต้องเดินไปทางตะวันออก
ตรงนี้คือจุดศูนย์กลางของเมือง St.Gelgen นะคะ บ้านที่เห็นไม่ใช่ร้านอาหาร หรือโรงแรมนะ แต่เป็น Rathaus ประจำเมือง St.Gilgen ค่ะ สวยเนอะ
แต่ตอนนี้เรายังมีกระเป๋าลากติดตัวอยู่ และก็อยากเดินเล่นให้ทั่วเมือง เพราะเมืองนี้สวย น่ารักมาก เลยวางกระเป๋าไว้ตรงหน้า Rathaus ซะเลย ยกมือไหว้ขอให้เจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองกระเป๋าลูกช้างด้วย แล้วก็ออกสำรวจเมืองอย่างรวดเร็ว
มองไปข้างในเห็นคนแต่งตัวเป็นโมสาร์ท ใส่วิกสีขาวด้วย
ในเมืองมีตลาดเล็กๆขายตามท้องถนนด้วยนะ เดินมาอีกเห็นคนซ่อมหน้าต่าง เลยงงกับการใช้เครนของเขา คือนั่นมันชั้นสองเองนะคะ เตี้ยนิดเดียว แต่พี่เขาเล่นเช่าเครนมาเลยนะ สงสัยไม่รู้จักบันไดลิง 555+
กลับมา….ให้ทายว่ากระเป๋ายังอยู่มั้ย? ………แหะๆๆ ยังอยู่สิคะ อยู่ครบสองใบ ยกมือไหว้เจ้าที่โมสาร์ทอีกที (รูปปั้นข้างหน้าเป็นรูปโมสาร์ทไง) ตอนแรกยังคุยกันว่า ถ้ากลับมาแล้วมีรถตำรวจ หน่วยเก็บกู้ระเบิดมาปิดล้อมพื้นที่ นึกว่าเป็นกระเป๋าระเบิดทำไง “…ไม่รู้สิ”
ล่องเรือ Wolfgangsee
อยากเตือนเรื่องแบงค์ใหญ่ๆนิดนึงนะคะ ใครที่แลกเงินมาแล้วได้แต่แบงค์ 500 100 ไม่มีใครรับนะคะ มีเงินก็เหมือนไม่มี จ่ายอะไรไม่ได้เลย นอกจากจ่ายค่าห้อง ซื้อตั๋ว แต่คนรับแบงค์ไปก็จะมีปฏิกิริยากระตุกนิดนึงนะคะ แล้วก็จะมองหน้าเรา
ตอนนั้นพวกเราไม่รู้จะไปใช้ที่ไหนแล้ว ถ้าที่นี่ไม่ได้ก็ไม่มีเงินซื้อของแล้ว เลยทำหน้าตาขอร้อง Please Please แต่เขาก็พยายามหามาทอนเราให้ได้ ขอบคุณเลยจริงๆ ได้แบงค์ปลีกมาซักที
การจองรอบเรือ เราสามารถเปลี่ยนเวลาได้นะ ก็ไม่ได้ต้องทำอะไร ของของพวกเราจองรอบ 11 โมง แต่เปลี่ยนใจอยากเดินในเมือง St.Gilgen ต่อ ก็เลยไปถามจนท. เขาก็แค่บอกว่าก็มาขึ้นรอบอื่นได้ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวใดๆค่ะ
สามารถล่องเรือไปถึง Strobl เลยก็ได้ สำหรับคนชอบมองวิวจากบนเรือ
ช่วงนั้นมีคนแต่งตัวแบบท้องถิ่นกันเยอะเหมือนกัน ดูน่ารักมากๆเลยค่ะ
ตอนพวกเราขึ้นมามันก็จะดูโล่งๆนะคะ ชาวเขตร้อนอย่างเราก็ย่อมไม่อยากนั่งตากแดดใช่มั้ยคะ เราก็รีบจับจองที่นั่งมีโต๊ะอย่างดี เก้าอี้อย่างดี นั่งในเรือเย็นๆ มีเพลงฟัง รีบนั่งเหมือนกลัวใครจะมาแย่ง
แต่นั่งอยู่ตั้งนาน เอ๊ะ…ทำไมไม่มีคนมานั่งด้วยกันเลยอ่ะ มีแต่คนยกเก้าอี้ไปนั่งตากแดดข้างนอก ทุกตารางนิ้วแทนจะไม่มีที่เดิน ข้างในก็จะมีแต่คนที่จับจองที่นั่งตากแดดไม่ทัน จำใจนั่งอะไรประมาณนั้น
สำหรับคนที่มีผู้สูงอายุมาด้วย ให้รีบจองที่นั่งกันนิดนึงนะ เพราะที่นั่งไม่พอค่ะ ต้องยืน แต่ก็ใช้เวลาไม่นานมากค่ะ ประมาณ 20-30 นาที แดดร้อนมากก็จริง แต่อากาศเย็น มันเลยรู้สึกงงๆ จะใส่เสื้อกันหนาวดีมั้ย 555+
ท่านี้สำหรับคนที่จะขึ้นรถไฟวินเทจขึ้นเขานะคะ พวกเราก็ไม่ได้คิดจะลงท่านี้นะทีแรก คิดไว้ว่าจะไปลงป้ายหน้า ก็มองคนลงไปเรื่อยๆจนหมด ก็มาสะดุ้งอีกทีว่า เฮ้ย…ทำไมเราไม่ลงไปดูรถไฟซักหน่อย ถ่ายรูปซักนิด ก็ถือว่าได้มา แหะๆ
คิดได้ดังนั้น ก็รีบวิ่งลงจากดาดฟ้าเรือ เข้ามาเอากระเป๋าที่โต๊ะ แล้วก็รีบวิ่งออกไปแบบฝรั่ง..งง เรือกำลังจะออก แต่พวกเราขอเบรคไว้ ขอลงด้วยๆๆ Wait Wait Wait Please!!!
ที่เห็นโบสถ์ไกลๆลิบๆนั่นคือ Pfarrkirche St. Wolfgang โบสถ์ของนักแสวงบุญเซนต์วูล์ฟกัง เป็นอีกท่านึงที่เรือจะไปจอดนะคะ แต่พวกเราลงท่านี้แล้วค่อยเดิน(ลากกระเป๋า)ไปอีกทีค่ะ
เดินมาอีกนิดเดียวก็เป็นจุดขึ้นรถไฟ ซึ่งพวกเราก็ได้แต่เกาะขอบรั้วยืนดูคนอื่นขึ้นกันไปค่ะ เอาเป็นว่าก็ถือว่าได้มาแล้วละกันเนอะ
อันนี้เป็นแผนที่ Wolfgangsee และท่าเรือต่างๆ บนสุดเส้นสีแดงๆนั่นคือจุดที่รถไฟไปถึงนะคะ โอย…เห็นแล้วก็อยากไปนะ เสียดายจัง
ตรงนี้น่าจะเป็นรีสอร์ท โรงแรมนะ หรูจริงไรจริง มีที่กั้นเหมือนสระว่ายน้ำด้วย แต่ดูแล้วน่าจะเป็นน้ำในทะเลสาบนั่นแหล่ะ แค่ว่าเขากั้นให้เท่านั้นเอง
เดินผ่านเมืองเข้ามาเรื่อยๆ
St. Wolfgang เป็นชื่อเมืองเล็กๆ (เล็กมากๆ) ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแนวทะเลสาบ ส่วนทะเลสาบนี้ชื่อ Wolfgangsee (See = Lake)
ตรงนี้เป็นท่าเรือ St.Wolfgang im Salzk. Markt ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมาลงและขึ้นกันที่นี่ค่ะ เป็นท่าที่อยู่ในเมืองที่สุด คนเยอะมากๆๆๆ
เดินเลียบฝั่งต่อๆมา โอ้วโหว…เป็นวิวที่ไม่นั่งไม่ได้เลยนะ เพราะว่ามันเป็นที่นั่งในร่ม มีต้นไม้บังแดด แถมเป็นดอกไม้สีชมพูต้นเดียวในเซนต์วูล์ฟกังด้วยนะ (เท่าที่เห็น) วิวมันสุดยอด รอให้เราสองคนมานั่งแท้ๆเลย
ส่วนที่นั่งกลางแดด คนจับจองกันเต็มหมดค่ะ …เอ๊ะยังไง ที่ร่มๆดีๆไม่นั่ง ชอบไปนั่งกลางแดด
ถ้ามีหมอนซักใบ คงจะหลับยาว พอตื่นมาส่องกระจกคงต้องร้องกรี๊สสส…หน้าดำปี๋ เห็นสวยๆอย่างนี้ แดดแรงมากๆนะคะ แต่อากาศมันเย็น โอย…งง
เรือมาค่อนข้างบ่อยเลยนะคะ แต่ไม่มีกลิ่นควัน ดีจัง
เดินต่อมาอีกเรื่อยๆ ทางเดินมันยาวมากค่ะ เดี๋ยวจะหันหลังกลับไปให้ดูรูปต่อไปนะคะ
พวกเราเห็นภาพนี้แล้วต้องร้องโอ้ว…โหวพร้อมกัน มือที่ถือกล้องสั่นแถบจะหลุดจากมือ ขาแทบจะไม่มีแรงยืน หัวใจเต้นแบบตื่นเต้นสุดๆ อยากจะกระโดดลงไปจุ่มน้ำเล่น ….เออ…ลืมว่ามันหนาว นี่มันสวรรค์หรือยังไง คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะเดินนรอบทะเลสาบเลยดีมั้ย แหะๆ
เดินมาจนสุดทาง เดินไปต่อไม่ได้แล้วค่ะ ต้องเดินขึ้นถนน จุดนี้ก็เป็นจุดทำสมาธิที่ไม่อยากหลับตาเลยนะคะ
เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเมืองที่เขาพัฒนาแล้วถึงมีไอเดียกระฉูดอะไรนักหนา
ขึ้นบัสสาย 546 ไป Bad Ischl
พวกเราเช็คตารางเวลาบัสมาเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปรอบัสค่ะ เดินมาจากทะเลสาบ เข้ามาที่ถนน ก็ไม่ได้ไกลมากนะ แต่มันเป็นเนินค่ะ แถมลากกระเป๋าด้วย ก็รู้สึกแอดเวนเจอร์ดีนะ
ป้ายนี้ดีจัง มีกระจกกั้นความหนาวด้วย
นั่งรถนานพอสมควรนะ ก็มาถึง Bad Ischl โรงแรมของพวกเราอยู่หน้าสถานีเลยค่ะ เดินไม่ไกล เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มออกสำรวจเมืองอีกทีค่ะ
Bad Ischl
วันนั้นเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม พอดี คือวันแรงงานโลกด้วย ได้เห็นเทศกาล Maypole ที่ Bad Ischl ตอนแรกก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมมีเสียงคนประกาศอะไรไม่รู้ เหมือนมีงานวัด ก็เลยออกไปดู เห็นคนเดินเข้าร่วมพิธีเต็มไปหมด
มีเต้นท์ขายเบียร์ ขายอาหาร คนแต่งตัวแบบพื้นบ้าน สวยมากๆ น่ารักสุดๆ (ชุดผู้หญิงแบบที่เขาดันหน้าอกให้มันดูมๆอ่ะ)
เสาต้นนี้แหล่ะ เป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาล Maypole เพราะจะมีหนุ่มๆช่วยกันดึงเชือกเพื่อตั้งเสาขึ้นมา คือมันยากมากนะคะ การตั้งเสาสูงๆ หนักๆ จากที่มันนอนๆอยู่แล้วตั้งขึ้นมาได้ โดยไม่ใช้เครื่องจักรอะไรเลย
การตั้งเสานี้ดำเนินไปนานนับชม. แต่ละคนก็จะช่วยกันลุ้น ให้กำลังใจ เป็นภาพที่แสดงถึงความรักสามัคคีของคนในหมู่บ้านจริงๆเลยค่ะ
การเดินเที่ยวเมือง Bad Ischl พวกเราใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กว่าจะกลับโรงแรมก็หัวค่ำแล้ว แต่ฟ้ายังสว่างอยู่เลยค่ะ
สรุปความประทับใจที่เที่ยว St. Wolfgang
1. วิวที่นี่สวยสุดยอด เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย แค่ได้มานอนเล่น ดูวิว ก็คุ้มแล้วค่ะ เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรสวยขนาดนี้มาก่อน
2. ขอยกให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ประทับใจที่สุดของทริปด้วยนะคะ เนื่องจากเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ไม่ร้อน ไม่หนาว ฝนไม่ตก วิวเหมือนอยู่บนสวรรค์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ (ยกเว้นค่าเดินทางแพงไปนะ)
Hallstatt ก็สวยนะกินกันไม่ลง แต่วันนั้นฝนตก และหนาวมาก ก็เลยยกให้ St. Wolfgang ไปค่ะ
3. รถไฟวินเทจขึ้นเขา Schafbergbahn ก็น่าขึ้นมากๆนะคะ ถ้าใครมีงบ มีเวลา อยากให้จัดเต็มค่ะ มองข้างล่างยังสวยขนาดนี้ ข้างบนสวยกว่าหลายเท่าแน่ๆ
4. เห็นรีวิวน้อยเหมือนไม่ค่อยมีที่เที่ยวเด่นๆอะไรเด่นๆนะคะ แต่หมดเวลาไปกับการนั่งเล่น เดินเล่น นอนอาบแดด ดื่มด่ำธรรมชาติ ฟินแบบสุดๆ ใครมากับแฟนนะ ขอแต่งงานกันตรงนั้นเลย จะจำไม่ลืม
5. เมือง St.Wolfgang มีโบสถ์ประจำเมืองน่าดู Pfarrkirche St. Wolfgang (Pilgrimage Church Of St. Wolfgang) เป็นโบสถ์ของนักแสวงบุญ St. Wolfgang อย่าลืมถ่ายรูปเป็นสัญลักษณ์มาด้วยนะคะ เพราะแอดมินลืม แหะๆ
6. ทางเดินจะเป็นทางเดินเลียบฝั่ง ซึ่งจะเห็นแนวภูเขาฝั่งตรงข้ามตลอดทาง สวยมากๆ ไม่แอดอัดแย่งกันเพราะมันยาวสุดลูกหูลูกตา
7. จะล่องเรือหรือไม่ ก็ขึ้นกับความชอบนะคะ เพราะถ้าคิดจะประหยัดไม่ขึ้นเรือ มันก็ประหยัดได้ไม่เกิน 2 ยูโรหรอกค่ะ เพราะต้องต่อบัสมาอีกอยู่ดี แต่ถ้าเอาสะดวกที่สุด ก็นั่งเรือนี่แหละค่ะ ไม่แพง
8. ที่นี่สามารถเที่ยวได้หลายทิศทาง เพราะถ้านั่งสาย 150 ไปลงฝั่งตรงข้าม ก็จะมองเห็นอีกวิวนึง เมือง St.Gilgen ก็สวยมาก เมือง Strobl ไม่ได้ลง แต่ก็คิดว่าน่าจะสวยเช่นกัน เราสามารถออกแบบเส้นทางตัวเองได้หลากหลายมากเลยค่ะ
9. ควรจองโรงแรมค้างที่ St.Wolfgang มั้ย คือถ้างบไหวก็ควรค่ะ พวกเรายังอยากค้างที่นี่เลย แต่โรงแรมที่นี่แพงมากค่ะ
10. พวกเราไปค้างที่ Bad Ischl เพราะที่พักถูกกว่าเยอะค่ะ และเมืองนี้ก็น่าเที่ยวมากๆเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ