เที่ยวยุโรป Season1 Day23 เที่ยว Melk – St. Polten
เช้าวันนี้พวกเราออกจาก Obertraun ที่พักที่ใกล้ Hallstatt ที่สุด และจะออกเดินทางไกลไปที่ Melk ด้วยการต่อรถไฟถึง 5 ต่อ จากนั้น ก็แวะเที่ยว St. Polten ซักหน่อย แล้วค่อยกลับมาค้างที่ Melk กัน 1 คืนค่ะ
ตรวจสอบเส้นทางไป Melk
เข้าเวปนี้ค่ะ http://fahrplan.oebb.at/ ใส่ต้นสาย ปลายทาง แล้วก็กด Search เพียงแค่นี้ ก็มีเส้นทางให้เราเลือกมากมายแล้วค่ะ
สำหรับการต่อรถไฟในระยะเวลาน้อยๆ เช่น 5 นาที ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะมันเดินถึงกันได้ภายใน 2 นาทีเท่านั้นเอง (ถ้าไม่ดีเลย์ หรือประท้วงนะ)
ใช้ Einfach-Rach-Ticket
พวกเราเลือกใช้ Einfach-Rach-Ticket สำหรับ 2 คน ราคา 33 ยูโร เงื่อนไขคล้ายๆ Bavaria ticket แต่ Einfach-Rach-Ticket จะเพิ่มทีละ 4 ยูโรทุกๆ 1 คน ได้สูงสุด 5 คน
ใช้ได้เฉพาะรถไฟช้าระยะไกลเท่านั้น ใช้กับบัสไม่ได้นะคะ
ใช้ไปถึง Vienna ได้ค่ะ แต่ใช้รถไฟในเมือง ใต้ดิน บนดินที่วิ่งภายในเมืองไม่ได้นะคะ
เวลาซื้อตั๋ว จะมีให้เลือก จำนวนคน และจำนวนใบ
ถ้าเราเลือก 2 คน ก็ต้องเลือก 1 ใบนะ (ไม่ใช่2ใบ)
ส่วนราคา 1 คนไม่มีค่ะ (ราคาเริ่มที่ 2 คน)
ส่วนเวลา Search เส้นทาง ก็อย่าลืมเลือก Einfach-Raus-Ticket ด้วยนะคะ มันจะได้ขึ้นสายรถไฟที่ใช้กับตั๋วนี้ได้แน่ๆค่ะ
เส้นทางการเดินทางของเราในวันนี้ค่อนข้างจะยาวไกล และเปลี่ยนรถไฟบ่อยถึง 5 สาย (มือใหม่ เลยเลือกแบบเปลี่ยนสายนานหน่อย)
เริ่มต้นที่ Obertraun 9โมงเช้า ไปถึง Melk บ่ายสองกว่าๆ
ต่อที่1 Obertraun –> Attnang-Puchheim
ต่อที่2 Attnang-Puchheim –> Linz
ที่เอารูปนี้ให้ดูเพราะว่า จะมีป้ายกระดาษติดที่ประตูเขียนว่า Linz Hbf ด้วยนะ เพราะตู้อื่นก็เป็นเมืองอื่น แต่เป็นรถไฟขบวนเดียวกัน เป็นไปได้ว่าจะแยกขบวนทีหลัง เวลาขึ้นก็อย่าลืมสังเกตุป้ายกระดาษนี้ด้วยนะคะ
ต่อที่3 Linz – St. Valentin
รอบนี้ในตารางเวลาไม่ได้บอกนะคะว่าเราต้องไปขึ้นที่ Platform ไหนต่อ บอกแค่เวลาที่รถไฟจะมาถึง แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ไม่รู้ชานชาลา
ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลาไหนต่อ ก็ต้องเดินหาค่ะ ก็มาเจอจอนี้ แต่เวลาเราจะดูว่าเราต้องขึ้นคันไหนที่ไหน เราต้องรู้ปลายทางก่อนนะคะ ว่า Richtung (direction) อะไร
อย่างกรณีของเรา เราจะไป St. Valentin ใช่มั้ยคะ แต่ St. Valentin มันไม่ใช่ปลายทางของรถไฟ มันเป็นแค่ทางผ่าน ฉะนั้นเราต้องไปดูในตารางเวลาที่เราปริ๊นท์มาจากตู้ขายตั๋ว หรือดูจากเวปค้นหาสายรถไฟก็ได้ค่ะ ว่าปลายทางของรถไฟคันนี้มันไปสุดที่ไหน
กรอบสีแดงนั่นคือรอบรถไฟที่พวกเราต้องขึ้นนะคะ ก็ไล่ไปดูว่าต้องไปขึ้นที่ชานชาลาอะไร
อ่านๆดูแล้วมันก็เหมือนจะงงๆหรือเปล่านะ แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ได้ยากค่ะ อย่างน้อยก็ง่ายกว่าญี่ปุ่นล่ะค่ะ
หรือไม่ก็มาดูที่ป้ายกระดาษแบบนี้ก็ได้ค่ะ มีทุกสถานี ดูไล่ไปตามเวลาได้ ลองไปยืนดูๆซักพักก็จะเข้าใจเองค่ะ
มีเวลาเหลือเยอะค่ะ เลยออกมาสำรวจข้างนอกซักหน่อย
ทางไปชานชาลาต่างๆก็ไม่ยากค่ะ ไม่ซับซ้อน มีเบอร์เรียงกัน บางจุดก็มีลิฟท์ แต่บางจุดก็ไม่มี แต่ส่วนใหญ่จะมีค่ะ
ต่อที่4 St. Valentin –> Amstetten
ต่อที่5 Amstetten –> Melk
และในที่สุดพวกเราก็มาถึงกันซะที “เมือง Melk” ตึกเหลี่ยมๆสองชั้นสีเหลืองนั่นคือ Melk Hbf นะคะ ถ้ามองไปทางขวาของรูป ก็จะเป็น Melk Abbey
เรามาทำอะไรกันที่ Melk
ทีแรกตั้งใจจะล่องเรือแม่น้ำดานูป ไป Krems ค่ะ แต่เห็นพยากรณ์แล้ว ฝนตกแน่ๆพรุ่งนี้ ก็เลยยกเลิกไป ประกอบกับความงกทั้งเงิน และเวลา เพราะราคาล่องเรือก็สูงใช้ได้ แถมยังต้องใช้เวลาไปกลับคือทั้งวันอ่ะ พวกเราก็เลยยกเลิก ไม่ล่องเรือ แต่จะนั่งบัสแทน
สำหรับวันนี้ พวกเราไม่ได้เที่ยวอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ แค่เดินชมเมือง ซึ่งมี Melk Abbey เป็นสถานที่หลัก ส่วนตัวเมืองไม่ใหญ่มาก เดินไม่ถึงชั่วโมงก็หมดแล้วค่ะ
นอกจากนี้ พวกเรายังโลภมากไป St. Polten ที่เป็นเมืองข้างๆ Melk ด้วย แต่ต้องนั่งรถไฟไปอีกนิดนึง ไหนๆก็ซื้อ Einfach-Raus-Ticket มาแล้ว ก็ใช้ให้คุ้ม
St. Polten ใช้เวลาเดินในเมือง ไม่เกิน 1 ชม. ค่ะ แต่ก็ไม่ผิดหวังค่ะ St. Polten เป็นเมืองใหญ่กว่า Melk และสวยพอสมควร ออกแนวบาโร๊ค
เที่ยว Melk เวอร์ชั่นฝนตก
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ คนละ 11 ยูโร (ไกด์ 13 ยูโร) เข้าสวน 4 ยูโร
ในเมื่อพวกเรามาถึงซะเย็นขนาดนี้ ก็ไม่มีโอกาสเข้าแน่นอนค่ะ เพราะมันใหญ่กว้างขวางมากๆ เดินได้ทั้งวัน
ถ้าดูจากแผนที่ เห็นมั้ยค่ะ ว่ามันใหญ่มากๆจริงๆ ส่วนที่เข้าฟรีก็มีนะคะ พวกเราใช้เวลากับที่นี่ไม่ได้มาก เพราะโลภมากจะไป St. Polten กันต่อ
ก่อนไปต่อ เดินสำรวจ Melk ให้ทั่วก่อนค่ะ มาเจอวิวแบบนี้อยากนั่งกินข้าวเลย แต่ตอนนั้นหนาวมากๆค่ะ ฝนก็ตกด้วย ถ้าใครมาช่วงอากาศดีๆ อย่าพลาดมานั่งชมวิวตรงนี้นะคะ มันสวยมากๆ แบบน้ำตาจะไหลเลย
อันนี้เป็นภาพหลังจากกลับจาก St. Polten แล้วนะคะ เพราะฝนหยุดตก ก็เลยมาเดินเมือง เดิน Melk Abbey อีกรอบนึงจนค่ำเลยค่ะ
เที่ยว St. Polten
แม้ว่าจะเย็นหลัง 6 โมงแล้ว แต่ความงกมันกำเริบค่ะ ไหนๆก็มีเวลาเหลือ ไหนๆ St. Polten ก็อยู่ไม่ไกล จะไปโฉบชะโงกซักหน่อยจะเป็นไร ก็เลยใช้เวลาว่างในรถไฟให้เป็นประโยชน์ด้วยการกินมื้อเย็นซะเลย
ก่อนไปเที่ยวเราก็วิจัยมาแล้วค่ะว่ากินอาหารบนรถไฟได้มั้ย ทีแรกก็ไม่กล้ากิน แต่พอเห็นคนอื่นกินได้ เราก็กินได้สินะ อีกอย่างคือ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้มีป้ายห้าม แสดงว่าทำได้ บางครั้งกินตอนที่นายตรวจมาตรวจด้วย นายตรวจก็ยังไม่ได้เห็นว่าอะไร เราเลยสรุปเอาเองเลยว่า “กินบนรถไฟได้”
มาถึง St. Polten ตอน 6โมงครึ่ง พวกเรามีเวลาให้เมืองนี้ 1 ชม. เลยต้องเดินเร็วๆหน่อยค่ะ แต่ก็เก็บได้เกือบทั่วเมืองเลยนะ โลภมั้ยล่ะ ชะโงกทัวร์ยังอาย 555+
เห็นแท่งๆ เสาไม้นั้นมั้ยคะ เมื่อวันก่อนที่ไป Bad Ischl ก็เห็นนเสาแบบนี้ ซึ่งจะเป็นเทศกาล Maypole ในวันที่ 1 พฤษภาคม
วิธีการใช้ตู้ฝากกระเป๋าเป็นแบบไม่ได้มีกุญแจนะ แต่เราต้องไปจ่ายที่ตู้เพื่อรับการ์ด คือเอากระเป๋าใส่ตู้ไปก่อนนะ เสร็จแล้วปิดประตู ประตูมันก็จะเหมือนถูกดูดให้ปิดแน่นขึ้น ทีนี้ก็ไปที่ตู้ซื้อตั๋ว(สีน้ำเงินข้างๆน่ะค่ะ) มันจะขึ้นมาอัตโนมัติเลยว่าให้หยอดเท่าไหร่
เหมือนว่าการปิดประตูมันเป็นการ activate (ถ้าไม่มีการหยอดเหรียญมันก็อาจจะเปิดออกในอีกไม่กี่นาที)
จากนั้นก็หยอดเหรียญเข้าไปตามที่หน้าจอมันโชว์ขึ้นมาว่าให้เราใส่เท่าไหร่ ตู้เล็ก 2 euro กลาง 2.5 ใหญ่ 3.5 ประมาณนี้นะ แล้วแต่เมืองด้วย ราคาอาจต่างกันค่ะ
เสร็จแล้วมันก็จะคายตั๋วให้เรา จะฝากของได้แค่ 24 ชม.นะคะ เวลาจะมาเอากระเป๋าคืนก็แค่ใส่ตั๋วเข้าไปที่ตู้สีฟ้า แล้วประตูมันก็จะเปิดออกเองค่ะ
ห้องน้ำหยอดเหรียญ ถ้าเป็นเมืองท่องเที่ยวก็อาจจะ 1 ยูโร แต่ถ้าเมืองไม่ดังก็ 0.5 ยูโร อย่าลืมเก็บเหรียญไว้เข้าห้องน้ำกันด้วยนะคะ สำคัญมาก
ขากลับพวกเราก็มารถรถไฟตามเวลา แต่พอรถไฟมานี่สิ มันเกิดปัญหาตรงที่ ประตูรถไฟมันมีแปะกระดาษเป็นชื่อปลายทางไว้ในแต่ละตู้ด้วย เราก็เดินตั้งแต่หัวรถไฟ ยันท้ายขบวน ก็ยังไม่เห็นมีไป Melk ก็เลยนึกว่าคงเป็นคันถัดไปมั๊ง ไม่ใช่รอบนี้หรอก
กำลังจะตัดใจ ก็มีผู้หญิงมาถามว่าจะไปไหน พอบอกไปว่า Melk เขาก็บอกว่าก็ตู้นี้แหล่ะ ก็เลยได้ขึ้นแบบเฉียดฉิว
ก็เลยได้บทเรียนมาว่า “ดูป้ายดีแค่ไหน ก็ไม่เท่าใช้ปากถาม”
Melk และ St. Polten น่าเที่ยวมั้ย
ทั้ง Melk และ St. Polten ให้ความรู้สึกเหมือนห้างที่ตกแต่งเลียนแบบยุโรป แต่นี่มันคือบ้าน ตึกของยุโรปจริงๆ ไม่ใช่ห้าง
ถ้าให้บอกกันตามตรงนะ ก็ไม่ได้ปลาบปลื้ม ซาบซึ้งกับทั้งสองเมืองนี้มากค่ะ เหมือนเป็นเมืองทางผ่านเฉยๆ
ไม่ได้แย่นะ ไม่ใช่แบบทันสมัย ตึกเหลี่ยมไร้วัฒนธรรมนะ ก็สวยดี เดินเล่นได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นร้องวี้ดว้าว ขนลุกอะไรขนาดนั้น รู้สึกกลางๆมากกว่า นี่หมายถึงเฉพาะในเมืองนะ พวกบ้านเรือนตึกอะไรพวกนี้ ไม่นับธรรมชาติ และ Melk Abbey นะ
สรุปคือ มาก็ดี ไม่มาก็ไม่ได้เสียดายอะไรมากค่ะ
ถ้าถามว่าแนะนำให้มามั้ย
ถ้าใช้ตั๋ววัน Einfach Raus Ticket แล้วต้องผ่านแถวนี้อยู่แล้ว และถ้ามีเวลาเหลือ ก็มาชะโงกซะหน่อยได้ค่ะ ที่ละ 1 ชม. ก็ไหวแล้ว
แต่ถ้าไม่มีเวลา ไม่ได้ใช้พาสอะไร ก็ไม่ต้องมาค่ะ (เปลือง)
สำหรับคนที่ตั้งใจจะเข้าชม Melk Abbey หรือล่องเรือ ยังไงก็ต้องเดินในเมืองบ้างอยู่แล้วเนอะ
แต่ Melk Abbey พวกเราไม่ได้เข้าชมนะคะ ก็เลยแนะนำไม่ได้ ว่าคุ้มมั้ย
ถ้าถามว่าเสียใจมั้ยที่มาพักที่ Melk
ไม่เสียใจนะคะ แล้วก็คิดว่าพักถูกที่แล้ว เพราะเราจะไป Dunestein , Spitz , Krems อยู่แล้ว
ถ้าจะเสียใจก็คงเสียใจที่ไม่ได้พักที่ Dürnstein หรือ Spitz มากกว่า (แต่ที่พักแพงกว่ามาก)
สรุปว่า ถ้าจะมาพักที่ Melk ก็แนะนำให้ไปเส้นทาง Dunestein , Spitz , Krems ด้วยค่ะ
ข้อมูลประวัติศาสตร์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเมือง Melk
Melk เป็นที่ปักหลักแห่งแรกของตระกูล Babenburg (เป็นตระกูลผู้ปกครองแรกของออสเตรีย)
เรื่องมีอยู่ว่า…
คือเมื่อก่อนกษัตริย์แห่งบาวาเรียจะยิ่งใหญ่มากใช่มั้ยคะ ก็ได้แต่งตั้งคนไปดูแลเมืองหน้าด่านต่างๆ
คนที่ได้รับมอบหมายนั้น ก็จะมีมีอำนาจเหมือนกษัตริย์เลย
แต่มีอยู่คนนึง ไปเข้าข้างคนอื่น แถมยังคิดเกิดเหิมเกริม จะล้มล้างลูกของคนที่แต่งตั้งตัวเองอีก
(ก็ลูกต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพ่อใช่มั้ย)
ก็เลยถูกปลด แล้วตั้งขุนนางคนอื่นมาแทน คนนั้นก็คือ Leopold จากตระกูล Babenburg
ซึ่งตระกูลนี้ก็ปกครองพื้นที่แถบออสเตรีย ตั้งแต่ปี976 จนถึงปี 1230 รวม 254 ปี
Leopold ตอนเข้ามารับหน้าที่ ก็ได้สร้างป้อม และเลือกฐานที่มั่นของตัวเองไว้ที่ Melk
จนภายหลังก็มีการสร้างโบสถ์เมลค์ขึ้นมาข้างๆป้อม (ป้อมที่ว่า ก็คือปราสาทนั่นแหละ)
ต่อมา ทายาทตระกูลบาเบนเบิร์ก อีกหลายรุ่นสืบต่อกันมา
มีคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ ก็เลยย้ายฐานไปแถวๆเวียนนาแทน
แล้วก็ยกปราสาท Melk และดินแดนรอบๆ ให้เป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ Melk ไปเลย
โบสถ์เมลค์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตกแต่งอย่างหรูหราสไตล์บาโรค
เคยต้อนรับคนสำคัญๆ เช่น พระนางมาเรีย เทเรซ่า และโมซาร์ท มาแล้วด้วย
โบสถ์เมลค์เป็นโบสถ์นิกายเบเนดิกทีน ซึ่งเป็นแนวทางแห่งชีวิต
โดยพระในนิกายนี้ จะห้ามมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง
ชุมชนใกล้ๆ จะมาถวายอาหาร และของใช้
พระจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการสวดมนต์ ทำงาน(เกษตรกรรม) และนอน (พักผ่อน)
แล้วยังต้องช่วยเหลือผู้คน บริจาคสิ่งของ สอนหนังสือ
ส่วนเครื่องแต่งกายก็ง่ายๆ เสื้อคลุมมีฮู้ด
เมื่อก่อนเสื้อคลุมไม่ได้ย้อมสี แต่ต่อมานิยมเป็นสีดำ คนเลยเรียกพระนิกายนี้ว่า Black Monks
(สรุปเฉพาะใจความสำคัญจากหนังสือชื่อ “ท่องโลกศิลปวัฒนธรรม กับ เสรษฐวิทย์ เล่ม 3” ผู้เขียน เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ)
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ