เที่ยวยุโรป Season1 Day24 เที่ยว Wachau
เช้านี้พวกเราจะออกจาก Melk ไปต่อยังเวียนนา แต่ยังค่ะ ยังไม่ยอมไปง่ายๆค่ะ เราจะเที่ยวกันแถบ Wachau Valley (หุบเขาวาคเคา) ซึ่งจะมีเมืองสวยๆมากมายตามแนวลุ่มแม่น้ำดานูบ เช่น Spitz Duernstein Krems ซึ่งพวกเราจะแวะ 3 เมืองนี้กัน และเราได้ยกให้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดของทริปเลยค่ะ
เส้นทางการเดินทางของพวกเราในวันนี้
รถไฟ : Melk –> St.Pölten (เปลี่ยนสาย)
รถไฟ : St.Pölten –> Krems (ฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์)
บัส : Krems —> Spitz (เที่ยว)
บัส : Spitz —> Dürnstein (เที่ยว)
บัส : Dürnstein –> Krems (เที่ยว)
รถไฟ : Krems –> Vienna (ค้าง)
ตั๋วที่ใช้
– Einfach-Raus-Ticket 2 คน 33 ยูโร
– Wachau bus day ticket คนละ 10 ยูโร
ทำไมไม่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่ Melk
คือจริงๆเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่ Melk ก็ได้ แล้วนั่งบัสจาก Melk เลียบแม่น้ำดานูบ ผ่าน Spitz ผ่าน Duernstein ไปถึง Krems เลย แล้วก็นั่งบัสย้อนกลับมาเอากระเป๋าที่ Melk แล้วไปต่อเวียนนาได้
แต่พวกเรากังวลว่ารอบรถบัสจะมีน้อยหมดเร็วแล้วกลับ Melk ไม่ได้ ก็เลยไปฝากกระเป๋าที่ Krems ดีกว่า
ระยะเวลา :
Melk —> Vienna : ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง และต้องเปลี่ยนสายที่ St.Pölten
Krems —> Vienna : ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ต่อเดียวถึง
รถบัส : WL1 วิ่งระหว่าง Melk – Krems ได้
ล้มแผนล่องเรือ Wachau cruise
จริงๆแล้วตามแผนเดิมของพวกเรา จะต้องล่องเรือจาก Melk ไป Krems ซึ่งมีระยะทางกว่า 46 กม. แต่ต้องใช้เวลาทั้งวันในการไป-กลับ และจากการตรวจสอบพยากรณ์อากาศแล้ว จะมีฝนตกทั้งวัน
อีกเหตุผลหนึ่ง มาจากประสบการณ์นั่งเรือที่ St. Wolfgang ฝรั่งพากันแย่งที่นั่งกลางแจ้งกัน เราก็ไม่อยากไปนั่งแย่งเบียดกับเขา ครั้นจะนั่งข้างในตลอดเส้นทาง ก็รู้สึกว่ามันน่าจะน่าเบื่อ เหมือนได้มุมมองจากแม่น้ำเข้าสู่แผ่นดิน มองเห็นปราสาทจากไกลๆ
แต่ที่เราต้องการคือ อยากไปเดินในหมู่บ้าน อยากปีนขึ้นไปบนปราสาท แล้วมองลงมาเห็นวิวสวยๆจากที่สูงมากกว่า ก็เลยคิดว่า นั่งเรือไม่น่าจะเหมาะกับพวกเรา แถมยังแพง ไม่คุ้มอีกด้วย (อันนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลัก…แหะๆ)
ราคาล่องเรือต่อคน แบบ One Way Trip 24 ยูโร Roundtrip 29 ยูโร
รถไฟจาก Melk ที่มา St. Polten เกิดหยุดทำไมไม่รู้ ทำให้ดีเลย์ไปนาน จนพลาดรถไฟรอบที่จะไป Krems ต้องรออีก 1 ชม. แน่ะ
มาถึง Krems ประมาณเกือบเที่ยง เวลาเที่ยวหายไปจากการที่รถไฟหยุดแล่น (หยุดไปเฉยๆ ค้างอยู่ตั้งนาน ไม่แล่นไปไหนเลย…ประท้วง หรือรถเสีย หรืออะไร? ฮือๆๆ)
ถึง Krems แล้ว ต้องฝากกระเป๋าก่อนค่ะ มีตู้เล็กสุด 2 ยูโร ตู้กลาง 2.5 ยูโร ตู้ใหญ่สุด 3.5 ยูโร ราคานี้ถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆจะแพงกว่านิดนึงนะ สำหรับพวกเรามีกระเป๋า 20 นิ้ว กับ 21 นิ้ว ใส่ตู้กลางได้พอดีเลยค่ะ
การจ่ายเงินค่าตู้ฝากของก็ง่ายๆค่ะ ใส่กระเป๋าเข้าไป ปิดตู้ แล้วเดินมาที่เครื่องจ่ายเงิน มันก็จะมีตัวเลขที่เราต้องจ่ายโชว์ขึ้นมาเอง แล้วก็หยอดเหรียญ มันก็จะให้ตั๋วมาใบนึง เวลามาเอากระเป๋าคืนก็แค่เสียบตั๋วนี้เข้าไป ประตูมันก็จะเปิดค่ะ
ที่สถานีรถไฟก็จะมีป้ายบอกเวลารถบัสด้วย เราต้องขึ้นสาย WL1 มันโชว์มาว่าให้ไปขึ้นที่ชานชาลา B …แล้วชานชาลา B มันอยู่ไหนหว่า??
มาดูแผนผังก็จะเข้าใจได้โดยง่ายค่ะ ดีจริงๆ
ที่ขึ้นบัส WL1 ก็อยู่ทางซ้ายของตัวสถานีรถไฟค่ะ
รถบัสมาตามเวลาเป๊ะ แต่ตอนแรกเห็นที่หัวรถเป็น WL2 ก็ตกใจว่า อ้าว…แล้ว WL1 ไม่มีหรอ แต่พอรถเข้าจอดปุ๊บ มันเปลี่ยนเป็น WL1 ทันทีเลย
แสดงว่าที่รอบรถมันน้อยก็เพราะว่า เขาเปลี่ยนเบอร์ วิ่งเส้นทางอื่นด้วยนั่นเอง โถ่…นึกว่าเขาขี้เกียจซะอีก
คือพวกเราไม่รู้ว่าตั๋วเที่ยวเดียวมันเท่าไหร่อ่ะค่ะ แต่คิดไว้ว่าเราต้องขึ้นลงประมาณ 3 รอบ ก็เลยตัดใจซื้อตั๋ววันไปซะเลย ราคารวมแบบ 3 รอบ ก็อาจจะพอๆกับตั๋ววัน (ราคาบัสที่นี่แพงจังเลย)
Ruins Hinterhaus
นั่งรถบัสกำลังจะถึง Spitz แต่เหลือบไปเห็นซากปราสาทอยู่ลิบๆ ก็เลยลงมาดูก่อน เป็นป้ายชื่อ Hinterhaus ใจจริงอยากเดินขึ้นไปให้ถึงซากปราสาทนั้นเลย แต่เราไม่มีเวลามากพอค่ะ เลยอด
บัสจาก Krems มาจอดส่งตรงป้ายวงกลมนี้นะคะ เป็นป้ายที่เลยมาจาก Spitz Rollfahre ป้ายนึง ซึ่งจริงๆแล้วพวกเราจะเดินไปเรื่อยๆ ไปที่ Spitz Rollfahre ซึ่งเป็นป้ายที่อยู่ใกล้เมืองที่สุดก็ได้
แต่ไหนๆก็มีตั๋ววันบัสแล้ว ก็อยากใช้ให้รู้สึกคุ้มเล่นๆ แล้วบัสก็จะมาในอีก 10 นาทีข้างหน้า ก็เลยลงมาดูซากปราสาทจากไกลๆ เสร็จแล้วก็เดินกลับไปที่ป้ายเดิม เพื่อขึ้นบัสย้อนกลับไป Spitz Rollfahre อีกที (ซึ่งห่างกันไม่ถึง 1 กม.) บ้าจริงๆ เดินเอาก็ได้มั๊ง
เที่ยว Spitz
นั่งบัสยังไม่ทันก้นร้อน ก็ลงแล้วค่ะป้ายหน้า Spitz Rollfahre
เห็นคนขี่จักรยานเที่ยวก็รู้สึกดีนะคะ ได้ไอเดียเลย อยากขี่ล่องตั้งแต่ Krems ไป Melk ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่อยากจะลองขี่จักรยานเที่ยวดูซักครั้ง
ที่เมืองนี้มีเส้นทางรถไฟด้วยนะ แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่รถไฟโดยสารธรรมดาอ่ะสิ มันเป็นรถไฟท่องเที่ยว แบบหรู ราคาไฮโซค่ะ
นี่คือใจกลางเมือง Spitz แล้วนะคะ แต่ไม่เจอคนเลย มองไปทางไหนก็เหมือนเมืองร้าง นึกถึง Residence evil เลยอ่ะ
ตรงนี้ดูแล้วเหมือนโอ่งรองน้ำฝนเลยเนอะ เขาตั้งถังไวน์ไว้ซะกลางแจ้ง วางเรียงกันห่างๆไปเพื่ออะไรกันนะ
น่าแปลกนะคะ เมืองเล็กกระจิ๊ดเดียวเอง แทบจะนับหลังคาบ้านได้เลย แต่มีโรงเรียนด้วย เห็นเด็กๆเลิกเรียนเดินกลับบ้าน รู้สึกดีจังเลย เวลาได้เดินกลับบ้านกับเพื่อน ไม่ต้องมารอรถเมล์อมควัน รถก็ติด
Burg (บูร์ก) = Castle / Fortress
Berg (แบร์ก) = Mountain
ขึ้นมาไกลเหมือนกันนะ แล้วก็มาเจอจุดชมวิวจุดนี้ค่ะ สวยมากๆ มีเก้าอี้ยาวให้นั่งด้วย จริงๆแล้วยังมีทางให้เดินต่อไปสูงอีกนะ แต่ไม่มีเวลามากแล้วค่ะ (ไม่ใช่ไม่ไหวนะ)
ขึ้นมาแล้วก็หาทางลงไม่ได้ค่ะ ก็มาเจอทางนี้ทางเดียว แต่ดูเหมือนจะเป็นบ้านคนนะ ลองเดินๆไปก่อนแล้วกัน
หาทางออกไม่ได้ค่ะ เดินกันแบบเงียบสุดๆ อย่างกะพวกย่องเบา กลัวใครนึกว่ามาโขมย
เดินไปกำลังจะถึงประตูอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ว่าออกได้หรือเปล่า ก็มาชะงักตอนเจอคุณยายนี่ล่ะค่ะ เราสะดุ้งเขาก็สะดุ้ง เอิ่ม…เขาจะนึกว่าแอบเข้าบ้านเขารึป่าว ทำไงดี
ก็เลยบอกเขาว่า เราขอผ่านทางหน่อยนะคะ หาทางออกไม่ได้ ออกทางนี้ได้ใช่มั้ยคะ แกไม่ทันพูดอะไรก็ยิ้มแบบใจดีมากๆๆๆๆ ประมาณว่าฉันยังไม่ทันว่าอะไรเลย ฉันไม่ได้สนเธอด้วยซ้ำ แก้ตัวเป็นพัลวัลเชียว
แล้วพวกเราก็รีบมุดๆออกประตูไป ประตูก็ไม่ได้ล็อคด้วยแน่ะ เขาไว้ใจคนกันได้ขนาดนี้เลยนะ
พอพวกเราออกมาแล้ว ก็มาซุบซิบกันว่า “มะกี้เห็นยายเขาถือขวดอะไรมั้ย” “เออ…เห็นๆ” “เหมือนไวน์นะ แต่ขวดเบ้อเริ่มเลย” “เหมือนน้ำหวานมากกว่า…น่ากินอ่ะ”
แล้วเราก็ไปหาซื้อมาได้ แต่มันดูจ๊างจาง ก็เลือกแบบถูกสุดอ่ะ
สองข้างทางเป็นร้านค้า ว่าแต่เขาขายใคร แทบไม่มีใครเดิน
เดินไปเรื่อยๆทางเดียวกับซากปราสาท Hinterhaus (แล้วจะนั่งรถเมล์มาทำไมหว่า เดินมาก็สิ้นเรื่อง 555+)
เดินหักเข้าริมแม่น้ำ Danube วิวสวยมากๆ ขาดแต่ม้านั่งเท่านั้น
อันนี้เป็นราคาล่องเรือที่พวกเราจะขึ้นในตอนแรก ราคาไปกลับ Melk-Krems-Melk คนละ 29.50 ยูโร แต่เปลี่ยนใจ ใช้บัสดีกว่าคนละ 10 ยูโร
เที่ยวเมืองสปิทซ์จบแล้ว ขอเข้าห้องน้ำซะหน่อย เตรียมเหรียญเรียบร้อย กำลังจะเข้า อ๊ะ…ทำแบบนี้ก็ได้หรอ
สรุปความประทับใจเมือง Spitz
1. จุดเด่นมากก็คือ ซากปราสาท Hinterhaus เสียดายไม่มีเวลาปีนขึ้นไปดู ถ้ามีเวลาจะปีนขึ้นไปให้ได้
2. บ้านไม่ได้เหมือนยุคกลางนะ แต่เหมือนบ้านชาวไร่รวยๆ มีฐานะ (ไม่รู้บ้านเขาถือว่ามีฐานะหรือเปล่านะ) อารมณ์เดินเล่นไปเรื่อย แบบไร้ผู้คน อย่างกับธีมพาร์คที่กำลังจะเจ๊ง
3. แถวนี้ไม่ได้มี Attraction อะไรตื่นเต้นนะคะ เป็นหมู่บ้าน ไร่องุ่น ชิมไวน์ Spritzer ที่มาลงเมืองนี้เพราะอยากเห็นหมู่บ้านแค่นั้นเองค่ะ แต่แปลกนะที่ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไร แต่ทำให้เราตื่นเต้นได้
4. สินค้าที่ต้องซื้อกินให้ได้คือ Spritzer
เป็นการหมักองุ่น ให้เป็นไวน์ แต่ยังไม่ถึงจุดที่เป็นไวน์ คือเค้าจะหยุดการหมัก ไม่ให้มันมีแอลกอฮอล์มากเกินไป รสชาติมันก็จะออกมาแบบเปรี้ยวๆ หวานๆ ไม่ขม แต่อร่อยมาก จากนั้นก็เอามาผสมกับโซดา อาจจะครึ่งๆ หรือสัดส่วนแล้วแต่คนชอบ
ราคาถูกๆที่พวกเราซื้อกินได้ก็ ขวดละ 0.79 ยูโร เท่านั้น (~32 บาท) แต่จริงๆมีหลายแบบ หลายราคามาก ตั้งแต่ถูกสุด ~0.5 ยูโรไปจนถึง 20 กว่ายูโรเลย
สูตรผสมไวน์นี้ ทำให้พวกเราติดใจเลยผสมไวน์กับโซดาเอาเองเลย
5. ถ้าถามว่าแนะนำให้มามั้ย มันก็ต้องแล้วแต่คนชอบด้วยค่ะ ถ้าใครชอบความคึกคักตื่นเต้นก็อาจจะเบื่อๆ แต่ถ้าใครชอบธรรมชาติก็น่าจะชอบ สำหรับพวกเราชอบกลางๆนะ แต่ถ้าได้ขึ้นซากปราสาท Hinterhaus ด้วยน่าจะได้เห็นวิวสวยๆมากกว่า
6. ถ้ามีโอกาส อยากขี่จักรยานล่องเส้นทางนี้ บรรยากาศภูเขา แม่น้ำ สวยมากๆ แต่เดินในเมืองไม่ค่อยเท่าไหร่ค่ะ
เที่ยว Duernstein
นั่งบัสสาย WL1 จาก Spitz มาลงที่ Duernstein พวกเราเลือกป้ายก่อนถึงกลางเมืองนิดหน่อย เพราจะได้เดินจาก ตะวันตกไปตะวันออก ไม่ต้องเดินย้อนไปมาค่ะ
ระหว่างเดินจะเห็นซากปราสาทเดอร์นสไตน์ อยู่บนเขา(จากรูปอยู่ทางซ้าย)
เมื่อก่อนเป็นปราสาทของเจ้าขุนมูลนาย ตอนนี้เอามาทำเป็นโรงแรมหรู ดูราคาในเน็ทแล้วคืนละ 9000 บาท หรูจริงไรจริง เหมือนเป็นเจ้าหญิงเลย
อันนี้นึกว่าเขาตกแต่งเล่นๆใช่มั้ย แต่เดินเข้าไปใกล้ๆนะ มีราคาแปะด้วย
ถ้าเดินมาถึงร้านไวน์ร้านนี้ก็แสดงว่าถึงทางขึ้นซากปราสาทแล้วค่ะ จากรูป จะขึ้นเนินทางซ้าย หรือขึ้นบันไดก็ได้ค่ะ มันก็ไปจบที่เดียวกัน
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนขึ้นต้องเข้าไปชิมไวน์กันก่อนค่ะ อ่าฮะ…ชิมฟรีค่ะ แต่เอาแค่เบาะๆนะ เพราะมันแรงมาก ชิมไปแค่ 2 จอก เดินไปเริ่มหน้าร้อนผ่าวแล้วค่ะ ถ้าใครอยากจะซื้อ ค่อยซื้อตอนขาลงนะ แต่ราคาก็ไฮโซนิดๆนะ ขวดเท่าน้ำปลาขวดจิ๋วๆยังสิบกว่ายูโร
เดินมาเจอวิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันสวยจนอยากหยุดดูนานๆ แถมมีม้านั่งด้วยแน่ะ ดีจริงๆ เลยเอาเสบียงออกมากินชมวิวกัน
ดูพายุหมุนแล้วน่ากลัวเหมือนกันค่ะ
จากจุดที่อ๊อบยืนตรงนั้น ถ้ามองขึ้นมาก็จะเจอซากแบบภาพถัดไปนี้ค่ะ
มาถึงตรงนี้ก็ถึงกับร้องอ๋อเลย เพราะเคยอ่านหนังสือของคุณเศรษฐวิทย์ ท่องโลกแห่งศิลปะและวัฒนธรรม ที่บอกว่าตรงนี้เป็นที่คุมขัง กษัตริย์ Richard I The Lionheart ของอังกฤษ
ข้างในอับๆ เหม็นๆ น่ากลัวค่ะ อยู่นานไม่ได้ กลัวเจอโครงกระดูก แหะๆ…
ตอนแรกก็นึกว่าที่ยืนนี้สูงสุดแล้วนะ แต่พอเห็นคุณลุงขึ้นไปร้องตะโกน อาโฮ๊ยย….อาโฮ๊ยยยย.. แล้วก็แสดงท่าทางแบบตื่นเต้น อิ่มเอมมากเลย พวกเราก็เลยอยากลองขึ้นไปมั่ง
แต่ระหว่างรอลุงเขาลงมา มันก็ยากนะ น่าจะอายุไม่ต่ำกว่า 80 แน่ๆแต่เขาดูแข็งแรงมาก ไม่อ้วน เราก็เกิดแรงบันดาลใจว่า ถ้าเราแก่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องนอนอยู่บ้านนี่นา เราก็แข็งแรงแบบเขาได้ถ้าเราดูแลตัวเองดี และออกกำลังกายประจำ
แต่พอขึ้นมาถึงข้่างบนสุด ได้เห็นวิวแล้ว ขนมันลุก (เพราะหวาดเสียว) น้ำตาจะไหล (เพราะกลัวตก) แต่มันมีความสุขมากๆ ไม่เคยได้สัมผัสความสุขแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆนะไม่ได้เว่อร์
ตรงจุดที่ยืนมันมีที่ยืนแค่นิดเดียวจริงๆ แถมไม่มีที่กั้นอะไรด้วย ต้องระวังตัวเองสุดๆ แต่เราจะได้เห็นวิวแบบ 360 องศา เห็นไกลสุดลูกหูลูกตาเลย มันสวยมากๆ สวยจริงๆ เสียดายที่เป็นคนถ่ายรูปไม่เก่ง แต่มันสวยติดตาจริงๆ
ความรู้สึกมันเหมือนว่าเราได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการได้ขึ้นมาจุดสูงสุดตรงนี้ด้วยลำแข้งของเราเอง แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจุดที่สูงที่สุดในแถบนั้น จริงๆก็ไม่ได้สูงอะไรมาก แต่มันภูมิใจที่ได้มายืนจุดนี้ ซึ่งยืนกันได้แค่สองคนเท่านั้น
สรุปว่าพวกเราใช้เวลาขึ้น ถ้าไม่นับเวลานั่งเล่นนั่งกินชมวิวแล้วก็ประมาณ 40 นาที แต่ขาลง ใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้น
ลงมาถึงข้างล่าง เดินสำรวจเมืองกันต่อ มาเห็นเสาอันนี้อีกแล้ว ที่เคยเจอครั้งแรกที่เมือง Bad Ischl เป็นเทศกาลตั้งเสาที่จัดทุกวันที่ 1 พค.
เห็นโบสถ์ประจำเมืองสีฟ้าๆโน่นแล้ว เราจะไปตรงนั้นกันค่ะ
เมืองนิดเดียวก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยนะ เท่าที่ไปมาทั้งเยอรมนี และออสเตรีย เมืองเล็กๆทุกเมืองก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งนั้นนะ เพียงแต่ว่าเมืองเล็กๆก็จะปิดเร็ว บางที่ก็พักกลางวันด้วย อย่างเมืองนี้ค่ะ
ที่รูปมาให้ดูเพราะว่ามันแปลกค่ะ ถนนแคบนิดเดียว ถึงกับต้องสร้างอุโมงค์ลอดเลยหรอ เราวิ่งจิ๊ดเดียวก็ถึง อ่ะ…ไม่ต้องวิ่งหรอก แค่เดินแป๊บเดียวก็ได้เพราะไม่มีรถเลย ถนนโล่งมาก นานๆจะมาซักคัน แถมคนก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด
จุดยืนรถรถบัสสาย WL1 กำลังจะกลับ Krems จะเห็นซากปราสาท Duernstein กับ Stift Duernstein ด้วย
พวกเราเที่ยวกันอย่างอาลัยอาวรเมืองนี้มาก ถึงกับยอมเสี่ยงกลับรถรอบสุดท้าย ถ้าไม่มีมาล่ะก็ ทำไงเนี่ย แต่สุดท้ายมันก็มาค่ะ
สรุปความประทับใจเที่ยว Duernstein
1. ที่นี่บ้านเรือนก็จะคล้ายๆ Spitz เลยค่ะ แถมยังมีซากปราสาทเหมือนกันด้วย
ชื่อว่า ซากปราสาท (Ruin Dürnstein)
2. พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ของวัน (3 ชม.)ไปกับการไต่ขึ้นลง และดื่มด่ำกับวิว ที่ขอยกให้เป็นสุดยอดความประทับใจของทริปนี้เลยค่ะ !!!
3. จริงๆถ้าเดินเล่นข้างล่างเฉยๆ ก็ตื่นเต้นแล้วนะคะ โดยเฉพาะวิวแม่น้ำ วิวในเมืองไม่ค่อยเท่าไหร่นะ อารมณ์คล้ายๆ Spitz แต่มันมาพีคก็ตอนได่ขึ้นไปที่ซากปราสาท ที่เป็นจุดที่สูงที่สุด คือจุดสูงสุดจริงๆนะคะ ราวกับได้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส 555+
เที่ยว Krems
หลังจากที่นั่งบัส WL1 จาก Duernstein กลับมาที่ Krems แล้ว พวกเรามีเวลาเพียง 1 ชม. กับการเดินสำรวจเมือง
แต่ทว่า พอเดินๆไปรู้สึกว่ามันใหญ่ และมีอะไรน่าเดินกว่าที่คิด ก็เลยยืดเวลาออกเป็น 2 ชม. เพราะรอบรถไฟมีแค่ชั่วโมงละคัน จึงทำให้วันนี้เที่ยวกันยันค่ำ กว่าจะไปถึงเวียนนาก็เกือบ 4 ทุ่มแล้วค่ะ
ช่วงเย็นๆแบบนี้โบถ์ทุกที่ปิดหมดแล้วนะคะ โบสถ์สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรามีประโยชน์มากตรงที่เป็นที่หลบหนาวนั่นเอง
เดินในเมือง Krems เข้าออกตามซอยต่างๆไปทั่วเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมส์
บ้านเมืองเหมือนห้างเลยเนอะ
ค่าที่จอดรถ แปลไม่ออกแต่เดาเอาเองว่าน่าจะแปลว่า ครึ่งชั่วโมง 0.5 ยูโร , 1 ชม. 1 ยูโร 3 ชม. 3 ยูโร (แล้วจะบอกทำไมเนี่ย มันก็ชั่วโมงละ 1 ยูโรนี่นา
แต่ดูดีๆนะ ที่จอดรถมีพักเที่ยง-บ่ายสองห้ามจอดด้วยแฮะ เสาร์จอดได้ 8โมง-เที่ยง แล้ววันอาทิตย์ล่ะ ไม่ให้จอดหรอ
สรุปความประทับใจเที่ยว Krems
1. Krems เป็นเมืองใหญ่ น่าเดินมากกว่าที่คาดไว้ค่ะ
2. ถ้าเดินแบบเร็วๆ ใช้เวลา 1 ชม. แต่ถ้าเก็บรายละเอียดหน่อยก็ 2 ชม. พวกเราใช้เวลา เกือบ 2 ชม. เผื่อเวลารอรถไฟด้วยค่ะ
3. Krems ไม่มีจุดดึงดูดอะไรนะ ถ้าจะให้มาที่นี่ที่เดียวคงไม่คุ้ม แนะนำให้เที่ยวแถบวาเคาให้ทั่วทั้งวัน ไล่ตั้งแต่ Krems Duernstein Spitz Melk ถ้ามีเวลาก็เที่ยวเมืองอื่นๆแถบนั้นได้ค่ะ รับรองไม่ผิดหวัง
4. สรุปคือที่ประทับใจมากคือวิว บรรยากาศ ธรรมชาติค่ะ แต่เรื่องตัวเมืองยังไม่ค่อยเท่าไหร่นะ
ไปต่อ Vienna
หลังจากจบ Krems พวกเราก็นั่งรถไฟต่อเดียวมาถึงเวียนนา ซื้อตั๋ว 72 ชม. เริ่มใช้ 4 ทุ่ม มันก็จะไปหมดอายุ 4 ทุ่มของอีก 3 วันข้างหน้า
ตั๋ววันที่เวียนนา จะมีวันที่ให้เลือกตอนซื้อ แล้วมันก็พิมพ์วันที่มาให้อยู่แล้วนะ แต่มันก็มีลูกศรที่ตั๋วเหมือนให้เสียบเข้าทางนี้
ไม่รู้ว่าต้องปั๊มตั๋วมั้ย แต่อยากปั๊มค่ะ เพราะตั้งแต่มาเที่ยวยังไม่เคยได้ปั๊มตั๋วเลย เพราะตั๋วเสียบเข้าเครื่องไม่ได้ วันนี้ได้ปั๊มตั๋วแล้วดีใจอย่างกับเจอจุดเซฟ 555+
ประวัติศาสตร์แถบ Wachau
ในส่วนต่อไป เป็นข้อมูลประวัติ และความสำคัญที่สรุปเฉพาะใจความสำคัญจากหนังสือชื่อ”ท่องโลกศิลปวัฒนธรรม กับ เสรษฐวิทย์ เล่ม 3″ ผู้เขียน เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ และหาข้อมูลจากวิกิพิเดียเพิ่มเติมค่ะ
ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ พวกเราคงไม่คิดจะมาแถบนี้ ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ ที่ได้มาเจอสถานที่ ที่พวกเราประทับใจที่สุดในทริปเลย
Wachau
แถบนั้นทั้งแถบ ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยที่สุด ของแม่น้ำดานูบเลยนะคะ เพราะว่าเป็นหุบเขาสองข้างทาง ทำให้มีอากาศเย็นเหมาะแก่การปลูกองุ่น แถมยังเป็นเส้นทางที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากๆด้วยค่ะ
ค.ศ.800 กษัตริย์ Charlelemagne ของพวกแฟรงค์(หรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้มอบที่ดินแถวนี้ให้พระ ไว้ทำประโยชน์ พระก็เลยเอามาปลูกองุ่น เพื่อทำไวน์ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา (พระในศาสนาคริสต์ดื่มไวน์ได้นะ)
ต่อมาราชวงศ์บาเบนเบิร์ก(ราชวงศ์แรกของออสเตรีย) ก็ประกาศให้ Wachau เป็นพื้นที่อนุรักษ์เพื่อปลูกองุ่นทำไวน์ด้วย ก็เลยทำให้ Wachau มีชื่อเสียงมากเรื่องไวน์
เป็นเรื่องปกติค่ะ ที่คนออสเตรียจะดื่มไวน์แบบผสมโซดา เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหาร ชาวออสเตรีย จะเรียกเครื่องดื่มแบบนี้ว่า Spritzer แต่คนออสเตรียเอง จะเรียกน้ำองุ่นว่า Most
คือ Most ถ้าหมักต่อ จะเป็นไวน์ใช่มั้ยคะ แต่ออสเตรียนไม่ค่ะ เขาจะหยุดกลางคัน ก้ำกึ่ง จะน้ำองุ่นก็ไม่ใช่ จะไวน์ก็ไม่เชิง ทำให้มีแอลกอฮอล์น้อยกว่าไวน์ปกติ เครื่องดื่มแบบนี้เรียกว่า Sturm
สรุปคือถ้าหมัก Sturm ต่อ ก็จะได้ไวน์ (Wine) นั่นเอง
สรุป
ผลองุ่น —> Most(น้ำองุ่น) —> Sturm(ครึ่งไวน์ครึ่งน้ำองุ่น) —> Wine
Sturm + โซดา —> Spritzer
ภาษาชวนสับสน
คำว่า ไวน์ (Wine) ในภาษาอังกฤษจะมาจากคำว่า Vine ซึ่งแปลว่าเถาวัลย์
แล้วไวน์ส่วนใหญ่ก็มาจากองุ่นใช่มั้ยคะ ซึ่งมันก็เป็นเถาวัลย์ ที่เรียกว่า grapevine
แต่คำว่า Wine ในภาษาออสเตรีย จะเขียนว่า Wein หมายถึง grape(องุ่น)
แต่ชื่อเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ในออสเตรียจะเขียนว่า Wien
แต่ภาษาอังกฤษเขียนว่า Vienna
สรุป
ไวน์ = Wine = Wein
Wien = Vienna
Dürnestein
มาจากคำว่า “Duerrstein” หรือ “Dürrstein”
Duerr หรือ Dürr แปลว่า Dry
Stein แปลว่า หิน ในที่นี้หมายถึง ปราสาท (ปราสาทก็ทำด้วยหินใช่มั้ยคะ)
Dürnestein ก็แปลว่า ปราสาทแห้ง
ทำไมถึงแห้ง ก็เพราะว่ามันตั้งอยู่บนผู้เขาหินสูง เหนือแม่น้ำดานูบ ที่หินข้างล่างมันเปียกไงคะ (ว่าแต่มีปราสาทไหนอยู่ต่ำๆกันบ้างล่ะเนี่ยะ)
หมู่บ้านนี้เป็น หมู่บ้านโบราณที่อยู่ริมแม่น้ำ และมีกำแพงโบราณล้อมรอบด้วย
ไปเห็นมาแล้ว มันสูงมาก น่าจะสูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นเลยค่ะ แถมมีป้อมปราการด้วย รู้สึกได้ถึงยุคกลางเลย
ศาลาว่าการเมือง Dürnestein มีมาตั้งแต่ปี 1547 ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่เก่ามากๆ แต่จริงๆ มีการกล่าวถึงเมือง Dürnestein ในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1192 มาแล้วนะคะ
พูดง่ายๆคือ ดังขึ้นมาได้เพราะมีสตอรี่หนึ่ง ที่พูดกันไปในแบบต่างๆ เช่น
เรื่องเล่าแบบแรก
เริ่มจากช่วงสงครามครูเสด มีการเดินทางไปเยรูซาเล็ม โดยมีจักรพรรดิ Friedrich I Barbarossa เป็นผู้นำทัพ แต่คนนี้ก็อายุมากแล้วนะ แล้วก็บังเอิญสิ้นพระชนม์ระหว่างทางอีก ก็เลยเกิดปัญหาขัดแย้งกัน ระหว่างกษัตริย์เมืองเล็กๆต่างๆ ที่ติดตามไปด้วย
โดยเฉพาะ กษัตริย์ Richard I The Lionheart ของอังกฤษ และ Duke Leopold V แห่งราชวงศ์บาเบนเบิร์ก(ราชวงศ์แรกของออสเตรีย) ที่ขัดแย้งกันอย่างหนัก ถึงกับทำให้ Duke Leopold V โมโหและกลับเมืองไปก่อน
กษัตริย์ Richard I ได้ร่วมเดินทางไปยึดเยรูซาเลมกันต่อ แต่ก็ไม่สำเร็จนะ ก็เลยเดินทางกลับอังกฤษ ในระหว่างทางเดินกลับนั้นเอง เรือก็เกิดแตกที่อิตาลี ก็เลยต้องเดินทางบกแทน ปัญหาก็คือมันต้องผ่านเยอรมนี และออสเตรียนี่สิ
พอไปถึงหมู่บ้าน Erdburg (ทริปนี้ที่เวียนนา เราพักโรงแรมใกล้ๆสถานีชื่อ Erdburg ด้วย จะเป็นจุดเดียวกันรึป่าวนะ) กษัตริย์ Richard I ก็ถูกจับได้ แล้วถูกนำไปขังที่ Dürnestein Castle แห่งนี้นี่เอง
เรื่องเล่าแบบที่สอง
คือสมัยนั้น มักมีการจับตัวเศรษฐีเรียกค่าไถ่ กษัตริย์ริชาร์ดก็เลยโดนไปด้วย ส่วนหนีออกมาได้ยังไง ก็เล่ากัน 2 แบบอีก คนรับใช้ช่วยหนี กับอีกแบบคือ ก็ยอมจ่ายเงินค่าไถ่
แต่เงินไปตกอยู่ที่จักรพรรดิเฮนรี่ที่ 6 ของเยอรมนี แบ่งกับ ลีโอโพลด์ที่5 (เอ๊ะ…ยังไงเนี่ยะ งี้รู้เลยว่าใครอุ้ม?)
ก่อนตาย ลีโอโพลด์สำนึกผิด ก็เลยทำพินัยกรรม คืนเงินส่วนที่ตัวเองได้มา คืนให้แก่อังกฤษ (ถ้าจะคืนทำไมไม่คืนตอนมีชีวิตล่ะคะ)
ไม่รู้เชื่อได้มั้ยนะ…หรือจะสร้างสตอรี่เหมือนญี่ปุ่น แต่เรื่องเล่านี้ ก็ทำให้ Dürnestein เล็กๆแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแล้วค่ะ
หมู่บ้าน Willendorf
เป็นอีกที่หนึ่งที่โด่งดัง ไม่ใช่เพราะเมืองมีปราสาทโดดเด่นอะไรค่ะ แต่เป็นเพราะ “รูปปั้นเปลือย”
อ่านต่อนะ อย่าเพิ่งตาลุก
รูปปั้นเปลือยที่ว่า เป็นรูปปั้นผู้หญิงอ้วนค่ะ อันเล็กๆ สูงแค่ 11.1 ซม. เอง เพราะสมัยโบราณนิยมผู้หญิงอ้วนท้วนสมบูรณ์(มั๊ง) หินที่ใช้ปั้น เป็นหินในสมัยโบราณ ที่เป็นชนิดเดียวกับที่เขาเอามาสร้างกำแพงเมืองเลยค่ะ
รูปปั้นผู้หญิงอ้วนเปลือยนี้ ถือว่าเป็นของโบราณ โบราณมากๆ มากแค่ไหนรู้มั้ยคะ เขาว่ามีอายุอยู่ที่ประมาณ 28,000 – 25,000 ก่อนปีคริสตศักราช !!!!
ห๊ะ…หลายหมื่นปี ย้ำว่าก่อนคริสตศักราชนะ แต่เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อปี 1908 นี้เอง เป็นไปได้ไง
แต่ที่โด่งดังอีกเรื่องคือ รูปปั้นนี้ไม่ได้เป็นของพื้นที่แถบ Wachau แห่งนี้นะคะ ทำไมถึงรู้ล่ะ…ก็เพราะ แถวนี้ไม่เคยมีหินแบบนี้มาก่อน หินที่ว่า เขาจะเรียกว่า Limestone ก็เลยคาดว่าน่าจะเป็นเครื่องราง ที่มีคนนำติดตัวมานั่นเอง
รูปปั้นผู้หญิงอ้วนเปลือยนี้ เรียกกันว่า… Woman of Willendorf หรือ The Venus of Willendorf อาจจะเพราะว่า ถ้าพูดถึงรูปปั้นผู้หญิงเปลือย คนก็จะนึกถึงเทพวีนัส
แต่ตอนนี้รูปปั้นหญิงอ้วนเปลือยของจริง นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Naturhistorisches Museum ที่เวียนนาแล้วนะคะ
ถ้าจะมา Willendorf ก็คงไม่ได้เห็นของจริงหรอกค่ะ แต่ที่นี่ก็มีพิพิธภัณฑ์อยู่นะ จริงๆเป็นอีกที่ที่อยากไปเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาแล้วค่ะ
สรุป
1. เส้นทางแถบ Wachau เป็นเส้นทางที่พวกเราอยากแนะนำมากๆเลยค่ะ แต่คงไม่ได้ครึกครื้น โด่งดังแบบเมืองใหญ่ๆนะคะ
2. ถ้ามีโอกาส หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนได้ คงอยากไปค้างแถวนั้น ซัก 2 คืน แล้วเดินสายตามหมู่บ้านริมแม่น้ำดานูบให้ทั่วเลยค่ะ
3. ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องกิน (แต่ปิดเร็ว และมีพักเที่ยงด้วยนะเออ)
4. สำหรับ Krems ไม่ได้ศึกษาอะไรมามากค่ะ แต่พอลองไปเดินดูแล้ว รู้สึกชอบมากกว่า Melk ซะอีกนะ (ถ้าไม่นับ Melk Abbey นะ)
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ