เดินหาจุดขึ้น Flixbus Frankfurt
ตอนที่แล้วได้สรุปเป็น ไดอารี่เที่ยวแฟรงค์เฟิร์ท จบวันแรกกันอย่างสลบไสล รุ่งขึ้นวันนี้พวกเราวางแผนจะไป Heidelberg กันค่ะ สำหรับวิธีการเดินทางก็คือ Flixbus ค่ะ
9 องศา มันต้องใส่เยอะแค่ไหนหว่า…
รอบรถที่จองเอาไว้คือ 7.00 น. แต่อย่าลืมว่าที่นี่ยุโรปนะคะ เรื่องตรงเวลาสำคัญมาก พวกเราก็เลยต้องรีบตื่น รีบไปหาที่ขึ้นรถซะแต่เนิ่นๆ เผื่อเวลาไว้เยอะๆ
ตื่นตั้งแต่ตี 5 (เพิ่งจะนอนตอนเที่ยงคืนกว่า) กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็ 5.40 น. ที่ช้าไม่ใช่เพราะมัวแต่แต่งหน้าทำผมนะ แต่เพราะถอดๆใส่ๆไอ้เสื้อผ้าเนี่ยะหลายรอบมาก
ก็ในห้องน่ะมันมีลมอุ่นใช่มั้ยคะ เราก็นึกว่าข้างนอกมันจะเย็นกว่านี้ไม่เท่าไหร่ ดูอุณหภูมิจากแอพในมือถือก็ขึ้น 9 องศา แต่อุณหภูมิสูงสุดของวันจะเป็น 16 องศา แล้วไอ้ 9 องศาเนี่ยะ มันหนาวแค่ไหนอ่ะ
ใส่ 4 ชั้น ก็ยังหนาว
ใส่ข้างในกี่ชั้นดี ใส่ปลอกแขนดีมั้ย เอาเสื้อไปเผื่อดีมั้ย ยุ่งกับเรื่องเสื้อผ้ามากจริงๆค่ะ เพราะกะไม่ถูกว่ามันจะหนาวแบบไหน
สรุปว่าวันนี้ สำหรับคนขี้หนาวอย่างแอดมิน ก็ใส่เสื้อยืดข้างใน 1 ตัว เสื้อโปโล 1 ตัว เสื้อ fleece 1 ตัว เสื้อ Ultra Light Down 1 ตัว แถมพกเสื้อคลุมบางๆเผื่อไปอีกตัวค่ะ
พอใส่เสร็จ มันร้อนอ่ะค่ะ มันหนักๆแบบไม่เคยชินด้วยค่ะ ปกติอยู่บ้านก็ใส่บางๆ ออกนอกบ้านก็บางๆ ต้องมาใส่หลายชั้นแบบนี้มันก็ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่
แต่พอออกไปข้างนอกปุ๊บ โหย…ลมมาเลยค่ะ เย็นยะเยือกถึงข้างในเลยนะ หนาวมาก
easyHotel ไปจุดขึ้น Flixbus
วันนี้พวกเราเดินจากโรงแรม ไปยัง Frankfurt Hbf เพื่อไปที่จุดขึ้น Flixbus จริงๆจะมีรถรางหน้าโรงแรม นั่งไปป้ายนึงก็มีค่ะ แต่พวกเราไม่อยากซื้อตั๋ว (แค่ป้ายเดียวเอง จะซื้อทำไม) แล้วก็ไม่อยากโกงค่ารถเขาด้วยค่ะ แม้ว่าจะไม่เคยเจอนายตรวจเลยซักครั้ง (นางเองป่ะล่ะ)
ตอนนี้เวลาประมาณ 6.00 น. โผล่ออกมาจากใต้ดิน เดินไปอีกหน่อยก็ใกล้ถึงจุดขึ้น Flixbus แล้วค่ะ จริงๆเหลือเวลาอีก 1 ชม. แต่พวกเราต้องการไปดูจุดขึ้นรถให้แน่ใจก่อนว่าตรงไหน แล้วค่อยไปหาอะไรมากิน
เดินออกจากตัวสถานี ตอนนั้นท้องฟ้ายังมืดอยู่เลยนะคะ คนก็ชอบแต่งตัวแบบสีดำๆ มีคนเดินบ้างประปราย แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจใครหรอกค่ะ
เจอคนใจดีพาไปส่ง
เดินๆอยู่ก็มีผู้ชายคนนึง เข้ามาถามว่า “จะไปไหน” (คงเห็นพวกเราดูแผนที่ในมือถืออยู่) เขาถามมาก็ตอบสิคะ จริงๆไม่ต้องตอบก็ได้นะ แต่ตอนนั้นเฟรชชี่มาก สำหรับคนที่เหยียบยุโรปครั้งแรก มองโลกในแง่ดีไปหมด
เขาก็กวักมือให้ตามเขาไป แล้วก็เดินแบบเร็วมาก เราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนะ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง แล้วเราก็ไม่ได้หลงอะไรด้วย ก็มีแผนที่อยู่ แค่กำลังดูทาง แกะทางเฉยๆ
แต่ในเมื่อเขาจะช่วย ก็เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ และด้วยความอยากรู้ สองเท้าก็เดินตามไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ได้มีแต่ญี่ปุ่นหรอเนี่ยะ
ในความคิดตอนนั้น ด้วยความที่ติดภาพของญี่ปุ่นมามากค่ะ เคยไปญี่ปุ่นแล้วก็มีคนเข้ามาถามแบบนี้แหละ ตั้งหลายครั้งด้วย แต่เขาบอกเราไม่ถูก ก็เลยเดินพาเราไปแทน(เกรงใจจะตาย คือไม่ต้องเดินไปกับเราก็ได้ไง)
เราก็คิดว่า เฮ้ย…ฝรั่งเขาใส่ใจนักท่องเที่ยว ช่วยเหลือกันแบบนี้ เหมือนญี่ปุ่นเลยหรอ ไหนใครว่าเขาไม่ค่อยสนใจใครไง งงมาก…แต่ก็เดินตาม (ห่างๆ เพราะเดินตามไม่ทัน 555+)
ว่าแล้วเชียว รู้สึกแหม่งๆ
พอมาถึงจุดตรงหัวมุมถนน เขาก็หยุด แล้วชี้ไปที่รถบัสที่จอดเรียงรายกันหลายยี่ห้อ เราก็บอกขอบคุณไป แต่เขาดันมาหักมุมความรู้สึกของพวกเรา ด้วยประโยคอันยาวเหยียด แต่ฟังดูแล้วมันก็คือ “ขอเงิน” นั่นเอง
เขายกมาทั้งแม่น้ำดานูป ทั้งแม่น้ำไรน์ บอกว่า จะไป…(ที่ไหนซักที่นี่แหล่ะ) ต้องจ่ายค่ารถไฟ 60 ยูโร แต่อินเตอร์เน็ทเขามันเจ๊ง(แล้วมันเกี่ยวอะไรไม่รู้นะ)
พวกเราก็บอกว่า “ไม่มี” เพราะจ่ายค่ารถไว้แล้ว
เขาก็เลยบอกว่า “ถ้างั้นขอแค่ 1-2 ยูโรก็ได้” (กำขี้ดีกว่ากำตดสินะ) “จะได้ไปขอคนอื่นต่อ รวมๆกันเผื่อจะได้ครบค่าเบียร์ เอ้ย…ค่ารถไฟ” (อันนี้เติมเอง)
พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ (คือก็ไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละ ว่าถ้าเดือดร้อนจริงๆ ทำไมไม่หาวิธีอื่นที่ไม่ใช่มาขอเงินนักท่องเที่ยว)
ชิ่งดีกว่า
เขาก็ยังไม่ละความพยายามนะ กวักมือให้ไปดูบอร์ดอะไรไม่รู้ แต่พวกเราไม่ได้เดินตามไป
แต่ยังไงก็ต้องเดินไปทางนั้นน่ะสิ เพราะมันเป็นทางที่รถ Flixbus ต้องมาจอด (ดูจากแผนที่ที่ได้รับจากอีเมล) แต่ก็ตัดสินใจไม่สนใจผู้ชายคนนั้น ปล่อยให้เขาพูดคนเดียวไป คนอะไรอยากช่วยจนเกินเหตุ
แล้วก็รีบเดินเข้าไปในที่คนยืนเยอะๆ
น้ำใจงาม หรือ ซื้อบุญ
ถามว่าแค่ 1-2 ยูโร ก็ให้ๆเขาไปเถอะ ถ้าทำแบบนี้มันก็เหมือนปัญหาขอทานบ้านเราแหละค่ะ ที่มีขอทานเยอะขนาดนี้ก็เพราะมีคนให้อยู่นั่นแหละ
คนไทยมีน้ำใจ เรื่องนี้ไม่เถียง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเขาหรอก มันไม่ได้ช่วยอะไรสังคมเลย มันมีแต่จะทำให้สังคมแย่ลงต่างหาก
เราให้เขา เราก็รู้สึกว่าเราสูงส่งกว่าเขา สงสารเขา รู้สึกว่าเราได้บุญ แต่ถ้าใครสูงส่งกว่าเรา เราก็กลับไปอิจฉาเขา ตกลงว่าต่ำกว่าให้ได้ด้วยความภูมิใจ แต่อย่าสะเออะมาสูงกว่าชั้นล่ะ
ส่วนตัวคิดว่า การให้ขอทาน มันเป็นการส่งเสริมธุรกิจที่มีสินค้าที่ชื่อว่า “ความน่าสงสาร”
บทเรียนแรกในยุโรป
กลับมาที่แฟรงค์เฟิร์ทของเรานะคะ ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าเราหยิบเงินแค่ 1-2 ยูโร มันจะทำให้เขาเห็นกระเป๋าเงิน เห็นจุดที่เก็บเงิน
หรือไม่ก็อาจจะยกแม่น้ำอื่นๆในเอเซียมาสมทบ เพื่อดึงเงินจากกระเป๋าคนใจอ่อนอย่างเราอีกแน่ๆ หรือไม่ก็ฉกเงินไปทั้งกระเป๋า ต่อหน้าต่อตาเลยก็เป็นได้นะ
ยอมรับว่าผิดพลาดมากๆค่ะ ที่ไปไว้ใจคนแปลกหน้า ก็เลยอยากเตือนทั้งตัวเอง และคนอื่นๆว่าให้ “รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี”
ไม่ได้ถึงกับหวาดระแวงคนแปลกหน้าไปซะหมดนะ คนทั่วๆไปที่เจอมาก็ดีกันหมดนะคะ แค่ว่าต้องเอะใจ รักษาระยะห่าง และเอาตัวรอด
กลับไปสถานี หาอะไรกิน
พอรู้จุดขึ้นรถแล้ว ก็กลับไปที่สถานีเพื่อซื้อขนมปังกิน แต่ระหว่างเดินกลับ ตอนนี้เลือกเดินถนนอีกฝั่ง ก็ยังเห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม(อีกฝั่ง) แถมยังกวักมือเรียกเราไปอีกนะ เหมือนจะพูดอะไรไปด้วย
แต่พวกเราจ้ำอย่างเดียวค่ะ ไม่สนๆ ตรงนั้นค่อนข้างมืด และมีคนน้อย แถมยังมีก่อสร้าง
จนมาถึงตัวสถานี ที่สว่างๆ มีร้านขายขนมปัง แซนด์วิช หลายร้านให้เลือกค่ะ
ได้แซนวิชว่า 2 ก้อน ก้อนนึง2.89 ยูโร เป็นขนมปังฝรั่งเศส ที่ซื้อครั้งเดียวจำไปจนตายเลยค่ะ เพราะมันแข็งมาก คนที่นี่เขาต้องมีฟันที่แข็งแรงมากเลยนะ เลยต้องใช้วิธีฉีกกินแทน
อีกก้อนนึง 2.79 ยูโร เป็นขนมปังแซนด์วิชทั่วๆไป
ราคาถือว่าแพงค่ะ แต่ก้อนใหญ่ อันเดียวอิ่มแน่ๆ
ได้ของกินแล้ว รอให้ฟ้าสว่าง ก็เดินมาที่จุดขึ้นรถ พวกเรามาถึงก่อนเวลารถออกครึ่งชั่วโมง แต่รถก็มาพอดีค่ะ
สามารถนั่งกินบนรถได้ ไม่ต้องห่วงค่ะ ถามคนขับมาแล้ว แถมก็เห็นคนอื่นก็กินเหมือนกัน
วิดีโอ Follow a stranger in Frankfurt : Germany-Austria Travel Vlog Ep19
รวมลิ้งค์ทุกตอน รีวิวเที่ยวยุโรป Season1
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ