เที่ยว Heidelberg castle
ตอนที่แล้วพวกเรานั่ง รถบัสไปปราสาทไฮเดลเบิร์ก แต่ยังไม่ได้ถึงตัวปราสาทนะคะ เรายังต้องไต่ขึ้นไปอีกหน่อยค่ะ ตอนนี้เราจะพาเที่ยว Heidelberg castle กันแบบเต็มๆซักทีนะคะ
นั่งบัสมาถึงทางขึ้น Funicular
จุดที่ลงรถบัสสาย 33 ชื่อป้ายว่า Rathaus/Bergbahn (N15) แต่ปัญหาก็คือบนรถบัสไม่ได้มีบอกนะคะ ว่าถึงป้ายไหนแล้ว (หรือมีแต่ไม่เห็นหว่า)
แต่ไม่ได้มีปัญหาแน่ๆค่ะ เพราะป้ายนั้นเป็นป้ายที่มีคนลงเยอะที่สุดเลย อีกอย่างจุดสังเกตุก็ง่าย มองแว๊บเดียวก็รู้เลยค่ะ แต่ไม่วายที่พวกเราจะขอความชัวร์นิดนึงด้วยการ หาเรื่องถามคนขับซักหน่อย
พอถามไปคำเดียว “The castle?” คือแค่คำว่า “ใช่” ชั้นก็ลงแล้ว แต่เล่นตอบมาซะยาวเหยียด ประมาณว่าต้องขึ้น funicular ต่อไปอีกนะ แล้วก็ต่อด้วยอะไรไม่รู้
คือจะรีบลงไง (ติดนิสัยขึ้นรถเมล์ไทย ไม่รีบเดี๋ยวโดนด่า) แต่นี่คือดูเขาไม่รีบร้อนเลยแฮะ ไม่ได้ขับช้านะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับซิ่ง เวลาจอดก็ค่อยๆจอด เวลาออกก็ค่อยๆออก ไม่กระโชกโฮกฮาก แต่เวลารถเลี้ยวก็เหวี่ยงนะ แค่ไม่กระชาก ไม่ปาด
ทัศนียภาพก็สำคัญนะ
ป้ายที่ลงจะอยู่หน้า funicular พอดีเลยค่ะ พูดถึงป้ายรถเมล์ ปกติมันจะเป็นเสาใช่มั้ยคะ แต่ที่นี่(สังเกตุหลายเมืองก็เป็น) ป้ายเขาจะยื่นออกมาจากตัวตึก หรือป้ายชื่อซอย ชื่อถนน ก็ติดไว้ที่ตัวตึก
ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ คงจะพยายามรักษาทัศนียภาพ ไม่ให้ดูเกะกะ ตรงไหนมีตึกก็ยื่นออกมา ตรงไหนยื่นไม่ได้ก็ตั้งเสา
ถ้าอีกหน่อยมีแว่นสามมิติ พอใส่ก็เห็นป้าย เห็นรายละเอียด พอถอดออกก็เป็นถนนโล่งๆ แบบนี้เจ๋งนะ สะอาดตาดี 555+ นึกถึงบ้านเราที่มีแต่ป้ายโฆษณา(ตัวเอง ป่าวประกาศผลงาน หาเสียง สร้างภาพ) เดินๆไปต้องเล่นหลบสิ่งกีดขวาง
ไม่ใช่แค่ป้ายอย่างเดียว ยังมีหลุม บ่อ มอเตอร์ไซต์(ที่มาวิ่งบนฟุตบาท) ที่เจ็บใจที่สุดก็คือ อิฐบล็อกปูถนนที่มันกระดกได้ พอน้ำมันขัง(เน่าด้วยสิ) เดินเหยียบล่ะก็ น้ำกระเด็นอย่างกับกับดักในมาริโอ้ ถ้ากระเด็นใส่เท้าเราก็เซ็งแล้ว ถ้าไปกระเด็นใส่เท้าคนอื่นนี่ยุ่งเลย
ขายตั๋วรวม ไม่มีแยกนะ
พอลงบัสปุ๊บ อ้าว…! ทำไมคนที่ลงๆกันมาหายไปไหนกันหมด ไม่ขึ้น Funicular กันหรอ พวกเราเดินเข้าไปนึกว่าเขาปิดซะอีก เงียบมาก
เนื่องจากเท่าที่หาข้อมูลมา (Tourism-Heidelberg.com) บอกว่า ค่าเข้าปราสาท+พิพิธภัณฑ์ยา+ถังไวน์ยักษ์ 3 euro ไม่ได้พูดถึง Funicular เลย
พอดูข้อมูลของ Day-ticket ในแผนที่เขาก็บอกว่ารวมการเดินทางด้วย Funicular แล้ว
แต่เวปของ Funicular บอกว่า ค่าเข้าปราสาท+พิพิธภัณฑ์ยา+ถังไวน์ยักษ์+Funicular 7 euro
ย่อยข้อมูลออกมาก็เข้าใจว่า ถ้าเรามีตั๋ววันแล้ว เราก็ขึ้นไปซื้อตั๋วเข้าปราสาทแยกแค่ 3 euro ก็ได้สินะ
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่แบบนั้นสิคะ ข้อมูลมันอาจจะไม่อัพเดท ไม่เป็นไรก็ถือว่าไม่ได้แพงมากค่ะ
หมายความว่าต่อให้เราเดินขึ้นเอง(ไม่ขึ้นfunicular) ถ้าอยากเข้าส่วนของปราสาทและพิพิธภัณฑ์ด้วย ยังไงก็ต้องจ่าย 7 euro
จริงๆแล้วมีตู้ขายตั๋วอยู่นะคะ แต่ตอนนั้นอยากลองถามเพื่อความชัวร์ เลยจะเข้าไปถามที่เคาร์เตอร์ก่อน คิดช้าไปนิดเดียวเอง เสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล เข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว
หันมาอีกที หน้าเคาร์เตอร์เด็กมัธยมเพียงเลย ครูมาจัดการซื้อตั๋ว แต่ไม่รู้ทำไมมันนานขนาดนั้น มากกว่า 10 นาทีแน่ๆ
แหม!…จะซื้อตั๋วที่ตู้ก็ได้ แต่ยังไงก็ยังอยากรู้ว่าใช้ตั๋ววันแลกตั๋วขึ้น Funicular ได้มั้ย เพราะไอ้ตั๋ววันมันไม่ได้มีบาร์โคดเข้าเครื่องได้ เอาน่า…เผื่อฟลุ๊ก
แต่ก็อย่างที่เล่าไปแล้วน่ะค่ะ ยังไงก็ต้องจ่าย 7 euro อยู่ดี
ขึ้น Funicular
รอ funicular ไม่นานค่ะ แต่หูจะแตกก็เพราะเสียงนักเรียนนี่แหละ ใครว่าฝรั่งมีมารยาท ก็ไม่เสมอไปนะ ถ้าเปลี่ยนหน้าตาจากฝรั่ง เป็นจีน ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน
จุดที่ควรเข้าไปจับจองมากที่สุดคือด้านล่างสุดของตัวรถค่ะ(ทั้งขาขึ้นและขาลง) เพราะพวกเรานึกว่าข้างบนจะดูวิวได้ดีกว่า แต่ปรากฏว่ามีที่กั้น แถมวิวก็ไม่ได้เห็นหรอกค่ะ มันเป็นอุโมงค์ แต่ถ้าไม่ทันก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะรถวิ่งแค่ 2 นาที เท่านั้นเอง ผายลมยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้วค่ะ
ระหว่างทางเรามาดูความเป็นมาของสถานที่นี้กันก่อนนะคะ
ประวัติ Heidelberg Castle
ปราสาทไฮเดลเบิร์กตั้งอยู่บนเนินเขาสูงประมาณ 90 เมตร
จริงๆแล้วเมืองไฮเดลเบิร์กถูกพูดถึงกันตั้งแต่ปีค.ศ.1196 เรียกกันว่า “Heidelberch”
ตัวปราสาทในส่วนแรกๆ ตั้งขึ้นช่วงPrince Elector Ruprecht III (ค.ศ.1398 – 1410) ใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์
แรกเริ่มปราสาทไฮเดลเบิร์กถูกสร้างขึ้นในสไตล์ Gothic ตอนแรกก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่พอเปลี่ยนผู้ปกครอง เปลี่ยนยุค เปลี่ยนสมัย ก็ต่อเติมมากขึ้นเรื่อยๆ เลยกลายเป็นอาคารต่อๆกัน สถาปัตยกรรมก็ต่างกัน และหลังๆก็มีสไตล์เรอเนอร์ซองส์ปนมาด้วย
ปราสาทอันเก่าแก่นี้ ได้ผ่านวิบากกรรมมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งไฟไหม้ ฟ้าผ่า ถูกเผา ถูกทำลายจากสงคราม
ที่โดนหนักสุดคนจะเป็นในช่วงสงครามสามสิบปี (ค.ศ.1618-1648) ในปีค.ศ.1633 จนกระทั่งถูกยึดปราสาทได้ในปีค.ศ.1635
หลังจากจบสงครามสามสิบปี ผู้นำคนใหม่คือ Charles Louis (หรือ Karl Ludwig) ก็ได้ทำการทำนุบำรุงก่อนที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ ในปีค.ศ.1649
ในช่วงสงครามเก้าปี ค.ศ.1688 กองทัพฝรั่งเศสก็เข้ายึดปราสาทเป็นฐานทัพ
แต่ในปีถัดมา ก็ต้องถอนทัพออกไป แต่ก่อนจะไปอย่างเร่งรีบก็ได้เผาหอคอย และปราสาทบางส่วนก่อน
แต่ด้วยความปราณีของนายทหารคนนึง ได้แอบบอกให้ชาวบ้านจุดไฟเล็กๆในบ้าน แต่ทำให้เกิดควันเยอะๆ จะได้ให้ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าโดนเผาทั้งเมืองแล้ว
ในปีค.ศ.1690 ก็ถูกบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ให้แข็งแรง จนในปีต่อมาที่ฝรั่งเศสก็บุกเข้ามาอีก ถึงแม้จะยังไม่สามารถบุกเข้ามาได้ในทันที
แต่ในที่สุดฝรั่งเศสก็บุกเข้ามาจนได้ แม้ว่าจะใช้เวลาถึง 3 ปีก็ตาม แล้วก็เผาปราสาทให้สิ้นซาก แก้แค้นที่ครั้งที่แล้วรีบไป เลยเผาไม่หมด ยึดได้ครั้งนี้เลยเผาให้เกลี้ยง
เมื่อสงครามจบลงในปีค.ศ.1697 แต่ปราสาทและเมืองถูกเผาทำลายจนยากที่จะสร้างขึ้นใหม่ แถมยังต้องใช้เงินจำนวนมาก
และด้วยเหตุที่ตัวปราสาทอยู่ในที่สูง ซึ่งยากต่อการขนส่ง แถมยังต้องสร้างในสไตล์บาโรคแบบเก่าอีก ซึ่งก็ยากพอสมควร ก็เลยถูกทิ้งไว้ก่อน
จนชาวบ้านก็พากันขนหิน ขนเศษซาก เหล็ก รวมถึงเครื่องประดับ สถาปัตยกรรมต่างๆ เอามาซ่อมแซมบ้านตัวเองกันหมด
ในปีค.ศ.1720 เกิดความขัดแย้งทางศาสนาขึ้น พระเจ้าชาร์ลก็เลยประกาศย้ายไปเมือง Mannheim (อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Heidelberg)
จนในศตวรรษที่19 ซากปราสาทแห่งนี้ ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านนโปเลียนไปเลย
ช่วงก่อนปีค.ศ.1800 ได้มีศิลปินชื่อดังด้านต่างๆ เวียนกันมาชมซากปราสาทจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ จนเกิดภาพวาดที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาชมกันมากขึ้น
มีการถกเถียงกันเรื่องการบูรณะปราสาทนี้ขึ้นมาใหม่กันอยู่นานมาก จนกระทั่งปีค.ศ.1868 มีกวีชื่อ Wolfgang Müller von Königswinter ที่เป็นคนเริ่มเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างจริงจัง (ก่อนหน้านี้ก็มีการซ่อมบ้าง แต่ไม่ได้จริงจัง)
แต่กว่าจะได้เริ่มสร้างก็ปาเข้าไปปีค.ศ.1897 และแล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ.1900 ด้วยเงิน 520,000 Marks แต่ถึงยังไงก็ยังไม่ได้เป็นจุดสนใจจากนักท่องเที่ยวมากนัก
จนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่19 ที่ได้มีการวาดภาพลงบนโพสการ์ด ประทับรูปลงบนแก้ว ถึงได้มีคนเห็นความสวยงาม
ในศตวรรษที่20 นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันก็ได้ป่าวประกาศความสวยงามของปราสาทออกไปทั่ว
แค่ในช่วงต้นของศตวรรษที่21 ก็มีผู้เยี่ยมชมแล้วมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี และค้างคืน 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวอเมริกัน และญี่ปุ่น
ปราสาทไฮเดลเบิร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย
สวนในตำนาน
เมื่อประมาณค.ศ.1616-1619 พระเจ้าเฟดเดอริคที่5 ได้สร้างสวนอลังการเพื่อเป็นที่ฉลองพิธีแต่งงาน กับเจ้าหญิง อลิซาเบธ สจ๊วต จากอังกฤษ ซึ่งมีอายุยังไม่ถึง17 ปี
แน่นอนว่าเป็นการแต่งงานการเมือง โดยมีพิธีเฉลิมฉลองที่แพงมหาแพง แถมยังเร่งสร้างประตูในสวนให้เสร็จภายในคืนเดียว
พระเจ้าเฟดเดอริคที่5 ต้องไปอยู่อังกฤษเกือบครึ่งปี ทิ้งให้เจ้าหญิงผู้เอาแต่ใจอยู่ทีปราสาท เจ้าหญิงก็เลยเกิดไอเดียต่อเติมปราสาทใหม่ซะเลย
โดยเรียกสถาปนิกชื่อดังมาจากอังกฤษ ปรับเปลี่ยนสวน และห้องต่างๆ จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ8ของโลกเลย
Heidelberg Tun ถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1715 Prince Elector Karl Theodor ซึ่งเป็นถังเก็บไวน์ที่ถือเป็นการเก็บภาษี สูง 7 เมตร กว้าง 8 เมตรครึ่ง เก็บไวน์ได้ถึง 220,000 ลิตร ในนั้นก็ยังมีพื้นที่ฉลอง เต้นกันอีกด้วย
ส่วนนี้เหมือนจะเป็นร้านอาหาร ร้านนั่งจิบไวน์ ดื่มเบียร์ กินขนมซะมากกว่านะคะ
มีถังไวน์ที่ใหญ่มากก็จริง แต่เดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วค่ะ
Apothecary Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ยา ที่ให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ยา การผลิต วัตถุดิบกว่า 1000 ชนิด สูตรตำรับยา อุปกรณ์ และเทคนิคต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่17-19
ส่วนนี้ห้ามถ่ายรูป/ถ่ายวิดีโอค่ะ ก็เลยไม่ได้มีวิดีโอให้ดูนะคะ น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะด้านในก็น่าสนใจดีนะคะ มีให้เดินเยอะกว่าที่คิดค่ะ ข้อมูลก็เยอะ ของก็เยอะ
สรุปแล้วส่วนนี้แนะนำให้เข้าค่ะ
Castle lighting
มีการจุดพลุ เพื่อรำลึกถึงการถูกเผา 3 ครั้งใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ (ค.ศ.1689 ,1693 ,1764)
พลุสองครั้งแรก ระลึกถึงเหตุการที่เกิดจากกองทัพฝรั่งเศส
ส่วนพลุครั้งสุดท้าย เกิดจากฟ้าแลบฟ้าผ่า
โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์แรกของเดือนมิถุนายน เดือนกันยายน และเสาร์ที่สองของเดือนกรกฎาคม
ส่วนนี้พวกเราไปเดือนเมษายน เลยไม่รู้ว่ามีจริงๆหรือเปล่านะคะ
สรุป
– สำหรับคนที่ขยันเดิน และแค่ต้องการประหยัด อยากดูวิวเฉยๆ ไม่ได้ต้องการเข้าปราสาท ก็สามารถเดินขึ้นมาทางซอยข้างๆ Funicular ได้ค่ะ เห็นคนมีอายุหน่อยเขาก็เดินกันค่ะ เดินขึ้นมาแล้วก็เข้าเฉพาะสวนด้านหน้า กับสวนด้านหลัง ดูวิวสวยๆได้เลยค่ะ ฟรีๆๆๆ
– หรือขาขึ้นก็ขึ้นทาง Funicular แล้วขาลงก็เดินลงก็ได้ แต่จะเข้าหรือไม่เข้าปราสาท ไม่ว่าจะยังไง ก็ 7 euro ตายตัวนะคะ
– ส่วนตัวแอดมินคิดว่าถ้ามาครั้งแรก ก็ใช้ funicular ทั้งขึ้นและลง รวมทั้งเข้าปราสาท สำรวจให้ทั่วดีกว่าค่ะ แค่ 7 euro เอง คุ้มค่าแน่ๆค่ะ
– แอดมินใช้เวลากับที่นี่อย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่ลืมอ้อมไปด้านหลังดูสวนค่ะ (เสียดาย)
– ภายในปราสาทให้ 7/10 สวยค่ะ แต่นึกว่าจะได้เข้าไปตามห้องต่างๆบ้าง มีที่ให้เดินสำรวจน้อยไปหน่อย แต่โอเคแล้วค่ะ
– วิวบนระเบียงภายในปราสาทให้ 10/10 เลยค่ะ สวย ประทับใจมากค่ะ
วิดีโอ Travel to Heidelberg castle (Schloss Heidelberg) : Germany-Austria Travel Vlog Ep22
รวมลิ้งค์ทุกตอน รีวิวเที่ยวยุโรป Season1
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ