Passport Control ตม.ถามอะไร

คำถามที่ตม.มักถาม ควรตอบยังไง เอกสารที่ควรเตรียม ทัศนคติในการตอบคำถาม หากเข้าใจหลักการแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวห้องเย็นอีกเลย

สารบัญ

• ตม.คืออะไร
• ก่อนผ่านตม.
• คำถามที่ตม.มักถาม
• ทัศนคติที่เสี่ยงต่อการถูกสงสัย
• เอกสารที่ควรเตรียมก่อนผ่านตม.

---

ตม.คืออะไร

Passport Control ภาษาไทยเราจะเรียกว่า ตม. ก็คือ ตรวจคนเข้าเมือง ต่อไปเราจะเรียกว่า ตม.เฉยๆแล้วกันนะ

Passport Control หรือ ตม. เป็นด่านที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจพาสปอร์ต คัดกรองคนที่จะเข้าประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ เหมือนเป็นประตูเมืองที่ คนนอก/คนใน ต้องผ่าน

Passport Control หรือ ตม. ของแต่ละประเทศ จะมีทั้งขาเข้า และขาออก เช่น

กรณีทางบก จากประเทศไทย นั่งรถไปมาเลเซีย เราต้องผ่านตม.ขาออกประเทศไทยก่อน และใกล้ๆกันจะเป็นตม.ขาเข้าประเทศมาเลเซีย

กรณีทางเครื่องบิน หลังจากเครื่องบินลงที่สนามบิน จะมีผู้เดินทาง 2 กลุ่มหลัก คือ เปลี่ยนเครื่อง (Transit) และ เข้าประเทศ (Arrival)

• แบบแรก เป็นการเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ส่วนใหญ่ ไม่ต้องผ่านตม. แต่ในบางประเทศอาจต้องผ่านตม. เช่น จีน แต่ก็เป็นแค่การตรวจพาสปอร์ตง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ถามอะไรมาก เจ้าหน้าที่ต้องการเช็คว่าระยะเวลาต่อเครื่องนานแค่ไหน เกินกำหนดคือ 24 ชม.หรือไม่ ตรวจ Boarding pass ว่ามีการออกจริงมั้ย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

• แบบที่สอง เป็นการเข้าประเทศ (Arrival) จะต้อง ผ่านตม. ซึ่งแต่ละประเทศมีความเข้มข้นในคำถามที่แตกต่างกัน

---

ก่อนผ่านตม.

ก่อนผ่านตม. เพื่อความราบรื่นของตัวเราเอง เราต้องเข้าใจเจ้าหน้าที่ก่อน ไม่คิดอคติ เพราะเจ้าหน้าที่คือคนที่ทำตามหน้าที่ เจ้าหน้าที่ถามอะไร เราก็แค่ตอบไปตามความจริง ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ คำตอบของเราก็จะตอบได้ด้วยตัวมันเอง

จำไว้ว่า ซื่อสัตย์ พูดความจริง จะทำให้เรามั่นใจ และผ่านไปได้ด้วยดี หากคิดโกหกแม้ว่าจะเป็นการโกหกที่เราคิดว่าโกหกเพื่อให้มันผ่านๆไป ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่มีคำถามต่อเนื่องเรื่อยๆจนเราจนมุม

---

คำถามที่ตม.มักถาม

Where have you flown from? บินมาจากไหน

หมายถึง บินมาจากประเทศอะไร ถ้าต่อเครื่อง ก็คือประเทศล่าสุดที่เราต่อเครื่อง แต่แนะนำให้หมดเลยตั้งแต่ต้นทาง (ตอบเป็นชื่อเมือง ตามด้วยชื่อประเทศ) เช่น บินจากกรุงเทพฯ ประเทศไทย ต่อเครื่องที่อิสตันบูบ ตุรกี

Where are you staying? พักที่ไหน

หมายถึง เข้าประเทศไปแล้วจะไปพักที่ โรงแรม บ้านญาติ เรือ หรือไปยังไงต่อ ไปที่ไหนต่อ จะเป็นใบจอง หรือแค่ที่อยู่เบอร์ติดต่อก็ได้

What’s the purpose of your visit? มาทำอะไรที่นี่

หมายถึง มาทำอะไร มาเที่ยว มาเยี่ยมใคร มาทำงาน มาประชุม มาเข้างาน มาเชิงธุรกิจ ควรตอบให้ครอบคลุมเข้าใจ (ไม่ใช่ตอบแค่คำเดียว) เช่น มาเยี่ยมแฟนชาว…อันนี้จดหมายเชิญจากแฟน มีที่อยู่ เบอร์โทรในนั้น (ชี้ให้ดู) ตอนนี้แฟนรอรับฉันอยู่ข้างนอกนี้เอง อาจถูกถามต่อว่า แฟนทำอาชีพอะไร เพื่อเช็คว่ารู้จักกันจริงมั้ย

How long will you be staying here? จะมาอยู่ที่นี่กี่วัน

หมายถึง จะอยู่ในประเทศนี้กี่วัน ถ้ามาเชงเก้นต่อเนื่องหลายประเทศ ก็ยื่นแผนการเดินทางให้ดูไปเลย ไม่จำเป็นต้องเป็นแผนละเอียด แค่บอกว่าจะไปประเทศอะไรต่อจากนี้ เจ้าหน้าที่ต้องการรู้แค่จะอยู่ประเทศเขากี่วัน มีที่พักที่ไหน

หากอยู่เกิน 3 สัปดาห์ ก็อาจโดนถามมากขึ้น เช่น ทำไมมานาน ทำงานอะไร แต่ถ้าเราไม่ได้โกหกก็ตอบตามจริง

What’s your occupation? ทำอาชีพอะไร

หมายถึง ปัจจุบันทำงานอะไร มีรายได้จากไหน ถ้าไม่ได้ทำงานก็บอกว่าไม่ได้ทำ แฟนส่งเงินให้ทุกเดือน ถ้ามีรูปหลักฐานการโอนเงินจากแฟน ก็ยื่นให้ดูก็ได้ ไม่ต้องโกหก ใครมีงานก็ตอบไปตามจริงแค่เตรียมคำศัพท์เฉพาะไว้ เช่น Programer , Online Marketing

How much money do you have? นำเงินมาเท่าไหร่

หมายถึง นำเงินสดที่เป็นธนบัตร ติดตัวมาเท่าไหร่

คำถามนี้ถ้าตอบเยอะเป็นแสนเลยก็ไม่ได้ (ปกติก็ไม่ควรนำเงินสดติดตัวเยอะขนาดนั้นอยู่แล้ว) เพราะบางประเทศมีกฎหมายจำกัดจำนวนเงินสดเข้าประเทศ แต่จะตอบไม่มีเลย ก็ไม่ได้

เงินสดเป็นสกุลอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสกุลเงินประเทศนั้น แต่เวลาตอบให้แปลงเป็นหน่วยเงินประเทศนั้นๆ หรือสกุลหลัก เช่น USD, GBP

ถ้าตอบจำนวนเงินสดไปแล้ว อาจถูกถามต่ออีกว่า แล้วมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ มีบัตรเครดิตมั้ย แค่ตอบ ไม่ต้องโชว์ (ยกเว้นเจ้าหน้าที่ขอดู แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาดูหรอก)

เงินสดควรมีพอใช้จ่ายเล็กน้อยก็พอ เงินในบัญชีออมทรัพย์ควรมีเพียงพอต่อการเดินทาง และควรมีบัตรเครดิตด้วย

มาคนเดียวหรอ

ถ้ามาหลาย ก่อนจะเข้าช่องตม. ให้คนหลักคนแรก บอกไปก่อนเลยว่า เรามากี่คน ชี้มือไปทางกลุ่มของเรา เป็นครอบครัว เป็นเพื่อน เป็นแฟน สามี ภรรยา แค่บอกสั้นๆ ถ้ามากับเด็กบางครั้งก็ให้มายืนด้วยกัน บางครั้งก็ให้รอทีละคนขึ้นกับเด็กเล็กหรือเด็กโต

มีตั๋วเครื่องบินขาออกมั้ย

ตั๋วเครื่องบินอาจเป็นแค่ใบแสดงเที่ยวบินเฉยๆ ยังไม่ต้องจ่ายก็ได้ แต่บางที่ก็เข้มงวดต้องเป็นตั๋วจริงจ่ายเงินแล้วเท่านั้น ถ้าใครที่ไม่มีเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหน ตม.ก็อาจให้ออกจากแถวมาก่อน จะไปรอห้องเย็น ที่นั่งรอ หรือแค่ยืนแถวนั้น ระหว่างนั้น เราก็ต่อเน็ตซื้อตั๋ว เป็นตัวออกนอกประเทศ หรือนอกเขตเชงเก้นก็ได้ หาที่ใกล้ๆถูกๆ พร้อมทิ้งตั๋ว ไม่จำเป็นต้องเป็นตั๋วกลับไทย

---

ทัศนคติที่เสี่ยงต่อการถูกสงสัย

การเข้าห้องเย็น เป็นคำเรียกเล่นๆของคนไทย แต่จริงๆก็คือพื้นที่แยกจากหน้าเคาร์เตอร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ท่านอื่นช่วยดูให้เป็นรายบุคคล จะได้ไม่เสียเวลาผู้เดินทางข้างหลัง

ถ้าเราอคติ แล้วคิดกับตม.ว่า จะถามอะไรนักหนา ถามลึกไปแล้ว มีสิทธิอะไรมาถามเรื่องเงินในบัญชี มาดูเอกสารส่วนตัว วุ่นวาย เวลาเราตอบ เราก็จะใส่อารมณ์ โมโห ถามคำตอบคำ ไม่เต็มใจตอบ โกหก เลี่ยงคำ หงุดหงิด ปัญหาอาจตามมา เพราะคุณดูมีพิรุธ

เจ้าหน้าที่อาจพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กวนๆ ดุ กระแทกพาสปอร์ต และอื่นๆอีกมากมาย ก็อย่าไปถือสา บางประเทศอาจมีวิธีทางจิตวิทยาบ้าง ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องโกรธ ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่ได้โกหกอะไร แค่นิ่งและให้ข้อมูลตามที่ถามก็พอ

คำถามต่างๆอาจไม่ได้ต้องการหลักฐาน แค่เป็นการทดสอบ จับโกหกเราเท่านั้นเอง แต่การมีหลักฐานจะทำให้เรามั่นใจ และตอบง่ายขึ้น

การไปต่างประเทศ แม้ว่าจะมีวีซ่าแล้วก็ตาม ไม่ได้การันตีว่าจะได้เข้าประเทศ แผนกวีซ่า กับ แผนกตม. คนละหน้าที่กัน ดังนั้น ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ ซึ่งโอกาสน้อยมากๆหากเราบริสุทธิ์ใจจริงๆ

---

เอกสารที่ควรเตรียมก่อนผ่านตม.

• ใบประกัน

• ใบแสดงตั๋วเครื่องบินขาออก (ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแล้ว)

• Boarding pass เที่ยวบินล่าสุดที่เพิ่งลงเครื่อง (อย่าเพิ่งทิ้ง)

• เอกสารราชการฉบับแปล (ถ้ามี) พร้อมสำเนาภาษาไทย เช่นใบสมรสกรณีมาด้วยกัน สูติบัตกรณีมากับเด็ก (ควรเป็นแบบกระดาษ)

• กรณีมาเยี่ยม เตรียมจดหมายเชิญ ที่มีชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรของผู้เชิญ พร้อมระบุความสัมพันธ์ ถ้ามีรูปคู่ก็โชว์ได้ ย้ำผู้เชิญให้เปิดโทรศัพท์รอรับสายตลอดเวลาเผื่อตม.โทรหา

• กรณีมาเที่ยว เตรียมใบจองที่พัก ที่มีชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรของสถานที่พัก แค่วันแรกๆก็ได้ ไม่ต้องจองทั้งทริป

d

---