Romerberg Frankfurt

เที่ยวเยอรมัน-3

Romerberg Frankfurt am Main

ตอนที่แล้วพวกเรามาถึง Frankfurt Hbf ไปโรงแรม เรียบร้อยแล้ว  แต่ลืมไปว่าโรงแรมนี้ฝากกระเป๋าก่อนเวลาเช็คอินต้องเสียเงิน ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวอีก 2 ชม. กลับมาใหม่ก็ได้   ตอนนี้ก็เลยต้องลากกระเป๋าเที่ยว และจุดหมายแรกที่วางไว้ก็คือ Romerberg ค่ะ


 

ลากกระเป๋าเที่ยว

มาถึงโรงแรม(easyhotel)แล้ว คิดว่าจะมาฝากกระเป๋าที่โรงแรมเต็มที่  ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเวลาเช็คอินคือบ่าย3  ตอนนี้เวลาประมาณ 12.40 น.

พอโดนตอบกลับมา พร้อมกับชี้ที่ป้ายข้างๆ ก็ถึงกับมึนนิดหน่อย  เป็นค่าฝากกระเป๋า ค่าต่างๆที่นอกเหนือจากค่าห้อง  เพราะไม่คิดว่าจะเหนียวขนาดนี้

แต่ก็ต้องเข้าใจค่ะ ว่านี่คือ budget hotel ที่ราคาถูกอยู่แล้ว (ตอนนั้นได้ราคาคืนละ 1400 บาท/2คน) ห้องก็ดี มาตรฐานโรงแรม เพียงแค่เล็กอารมณ์ญี่ปุ่น

ด้วยความ “งก” พวกเราเลยตัดสินใจไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมกับกระเป๋าลูกติดสองใบมันซะอย่างนั้นแหละค่ะ  แต่ไม่เป็นไรค่ะ  อีกแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ Romerberg


 

วิธีไป Romerberg

พวกเราเริ่มต้นจากป้ายรถรางฝั่งตรงข้ามโรงแรมค่ะ ชื่อว่าป้าย Platz der Republik สามารถขึ้นสาย tram 11 , 12  ผ่านหน้า Frankfurt Hbf แล้วเลยไปที่ Romerberg ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นค่ะ

ป้ายที่ต้องลงจะชื่อ Romer/Paulskirche 


 

ยุโรปรถวิ่งเลนขวา

ภายในรถรางจะมีจอบอกป้าย ว่า ปลายทางอะไร ป้ายต่อไปอะไร และป้ายต่อๆไปมีอะไรบ้าง คือเอาเป็นว่า เด็กๆดูแล้วยังเข้าใจ หายห่วงได้ค่ะ  ดูง่ายมาก

แต่ปัญหาแรกของเราไม่ใช่ของยากค่ะ  แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่แม้จะอยู่มาเกือบเดือนแล้ว  ก็ยังหลงอยู่ ก็คือ “รถมันแล่นฝั่งไหนหว่า”

ปกติเราอยู่บ้านเรา เรารอรถเมล์ เราขับรถ เราจะชินกับ “เลนซ้าย” ใช่มั้ยคะ  เรายืนที่ฟุตบาท  เราจะมองรถทางขวา มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ใช่มั้ยๆ แต่…

มาที่เยอรมนี  เรารู้นะว่ามันกลับด้านกัน  แต่ๆๆ…เรางงค่ะ ว่าต้องขึ้นฝั่งไหน   พวกเราต้องยืนยกมือขวาอยู่ข้างถนน พึมพำกับตัวเอง

“บ้านเรารถมาทางขวานี้ใช่มั้ย แปลว่าบ้านเขาต้องมาทางซ้าย”

“เราต้องนั่งรถที่หันหัวไปทางขวา แปลว่าเราต้องไปขึ้นฝั่งตรงข้าม”

โอย…จะขึ้นรถต้องมายืนคิดว่าต้องขึ้นฝั่งไหน ไม่ได้ใช้เวลามากหรอกค่ะ แต่มันตลกตัวเอง สมองช้า สนิมขึ้น (งั้นต้องไปเที่ยวบ่อยๆ…แหะๆ)

พอไปถึงฝั่งตรงข้าม รถมันก็ต้องมาทางซ้ายของเราใช่มั้ยคะ  ฉะนั้นเราต้องมองซ้ายดูว่ารถจะมาหรือยัง  แต่ๆๆอีกแล้วค่ะ  “หันมองขวา”  อีกแล้วค่ะ

คือกว่าจะตกลงกันได้ว่าต้องขึ้นฝั่งไหน ก็ต้องยกมือขวามือซ้าย พึมพำกับตัวเองซักพักแหล่ะค่ะ

หลายครั้งที่ยืนรอรถอยู่ พอรถมาก็ต้องร้อง

“อ้าว…ทำไมรถหันไปทางนี้”  “ผิดๆ…ต้องอีกฝั่ง”

และอาการหลงทิศแบบนี้  ยังอยู่กับพวกเราจนวันสุดท้ายค่ะ  “ขึ้นผิดฝั่งประจำ”


 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราขึ้นถูกฝั่ง

ไม่ต้องห่วงค่ะ  ที่นี่เป็นประเทศที่เจริญแล้ว  เราผ่านความยากลำบาก  ฝึกฝนตัวเองจากรถเมล์เมืองไทยมาอย่างยาวนาน

จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะจอดหรือเปล่า จะโบกทันมั้ย  ต้องวิ่งตามรถอีก เฮ้อ…รับรองว่าไปไหนก็ไม่ลำบากแล้วค่ะ

ที่ป้ายจะมีทั้งป้ายไฟวิ่ง บอกว่ารถเบอร์อะไรบ้างกำลังจะมา  บอกเวลาว่าอีกกี่นาทีจะถึง วิ่งไปเข้าห้องน้ำกลับมายังทัน

แล้วยังมีบอร์ดที่เป็นตารางเวลารถ เบอร์รถที่ผ่าน ป้ายที่ผ่าน  คือบอกเยอะเกินจนอาจจะมึนได้ค่ะ

อย่างที่บอกว่า คนที่อยากฝึกสมอง ให้มาเที่ยวต่างประเทศค่ะ แค่ป้ายรถเมล์ รถราง ขึ้นสายอะไร ดูยังไง แค่นี้เซลล์สมองก็ดิ้นกันพล่านแล้วค่ะ

ที่สำคัญ “ขึ้นให้ถูกฝั่งล่ะ”


 

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “ระเบียบ”

พวกเรารอรถไม่นานค่ะ แค่ 5 นาที   ยืนรอตรงไหนก็ไม่พลาดค่ะ เพราะมันมีหลายประตู

ไม่ต้องวิ่งตาม เพราะเขาจอดตรงป้าย

ไม่ต้องโบกเพราะเขาจอดทุกป้าย

ไม่ต้องรีบขึ้น เพราะเขาออกตามเวลา

นี่ก็แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่เราต้องการบ้างจากกรุงเทพฯ


 

วางแผนเที่ยวยุโรป-52

ตั๋วเดินทาง

เนื่องจากพวกเรามี Group Day Ticket ราคา 15.8 euro (ใช้ได้5คน)  ที่ซื้อใช้มาตั้งแต่ สนามบินแฟรงค์เฟิร์ท  ก็สามารถนำมาใช้ขึ้นรถรางในเมืองแฟรงค์เฟิร์ทได้ด้วยนะคะ

ราคาตั๋วเที่ยวเดียวที่ใช้เฉพาะในตัวเมือง ไม่ว่าจะรถราง หรือรถไฟ (ราคาเท่ากัน) คือ 2.8 euro

ตั๋ววันแบบกลุ่ม(2-5คน)ใช้เฉพาะในตัวเมือง  ราคา 11 euro

ตั๋ววันสำหรับคนเดียว ใช้เฉพาะในตัวเมือง ราคา 7 euro


 

ซื้อตั๋วที่ไหน (ในเมือง)

ที่ป้ายรถรางบางป้ายจะมีตู้ขาย แต่บางป้ายก็ไม่มี

บนรถรางมีตู้ขายภายในรถด้วยค่ะ  แต่รถไฟไม่มีตู้ขายภายในรถนะ

ซื้อแล้ว validate เพื่อลงวันที่ใช้ด้วย  แต่ถ้าเป็นตั๋ววันไม่ต้องค่ะ เพราะตอนซื้อเราต้องเลือกวันอยู่แล้ว มันก็จะมีวันที่พิมพ์ไว้อยู่แล้ว

รถราง Validate ตั๋วได้ภายในตัวรถค่ะ   ส่วนรถไฟ ต้อง Validate ข้างนอก


 

มีนายตรวจมั้ย?

ตั้งแต่เดินทางมาทั้งเยอรมนี ออสเตรีย และบูดาเปสต์  ขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ไม่เคยเห็นนายตรวจบนรถรางซักคน อยากโชว์ไงว่า “ชั้นซื้อตั๋วนะยะ”

แต่อย่างที่เคยบ่นในบทความก่อนๆค่ะ  “รถไฟเยอรมนี ใช้ระบบความซื่อสัตย์”  ซื้อไว้สบายใจ เที่ยวสนุก ดีกว่าค่ะ


 

ถึงแล้ว…Romerberg

รถรางผ่านป้ายมาแค่ไม่กี่ป้าย ก็ถึงแล้วค่ะ Romerberg

ลงมาปุ๊บ ก็จะเห็น Romerberg ได้จากตรงนั้นเลยนะคะ

ฝั่งตรงข้าม Romerberg ก็จะเป็น ลานกว้าง (Platz) ร้านค้า ร้านขนมปัง เบียร์ และ Paulskirche (โบสถ์เซนต์ปอล)

 


 

กลัวดำ มากกว่ากลัวหนาว

พวกเราเลือกที่จะหาที่นั่งกินขนมปัง ที่หมกมาตั้งแต่มาเลเซียแล้ว  กับเค้กที่เก็บจากเครื่องบิน เพราะกินไม่หมด  เพื่อลดน้ำหนักของสัมภาระที่ถือ ให้ไปอยู่ในท้องเราให้หมด

เดินไปซักพัก ก็สังเกตุได้เลยว่า เก้าอี้เยอะมากค่ะ  แต่…เป็นที่นั่งกลางแจ้งทั้งนั้นเลยอ่ะ  (ช่วงนั้นบ่ายโมงนะ มันร้อนค่ะ) อากาศเย็นก็จริง แต่โดนแดดตรงๆแบบนั้นก็ไหม้ได้นะ

เดินหาอยู่นาน ก็หาที่นั่งร่มๆไม่ได้เลยค่ะ  เลยต้องไปนั่งบันไดโบสถ์เซ็นต์ปอล หลบมุม หลบแดด

กินขนมไป ก็นินทาฝรั่งไป  หนาวเหมือนกันนะ  เข้าใจเลยว่าทำไมชอบตากแดดกันนัก  แต่ระหว่างหน้าดำ กับหนาว ขอเลือกหนาวละกันค่ะ

จนเป็นจุดสนใจของนักเผยแพร่ศาสนาคู่นึง  (ชอบเข้าหาคนเอเซีย)  ตอนแรกก็นึกว่าจะมาขายอะไร  หน้าบ้านนอกเข้ากรุงอย่างเราก็ระแวงเหมือนกันนะ

คุยไปคุยมาก็ค่อยหายกังวลค่ะ  พวกเขานิสัยดี คุยห่างๆไม่ได้มาแตะเนื้อต้องตัว สุภาพ  จบด้วยแจกแผ่นพับเกี่ยวกับศาสนาคริสต์  ไม่มีปัญหาค่ะ


 

Fail at first sight

พวกเราเดินเล่นฆ่าเวลาที่ Romerberg กันต่อ ที่ถ้าใครเคยดูรูป จะเห็นตึกในสไตล์ยุคกลาง บ้านสวยๆ สีสันสดใสนั่นแหละค่ะ  ทีแรกเราก็นึกว่าจะมีเป็นหมู่บ้านทั้งลาน และรอบๆไง

แต่พอไปเห็นจริงๆแล้ว ผิดหวังหน่อยๆค่ะ  เพราะมีน้อยกว่าที่คิดเยอะเลย

ที่นี่สวยนะคะ บ้านด้านหน้าสวย เป็นร้านค้า ร้านอาหาร นั่งกิน นั่งดื่ม

แต่พอเดินไปด้านหลัง  เอ๊ะ…มันก็เป็นตึกธรรมดาๆนี่หว่า  ไม่ใช่บ้านเป็นหลังๆ แต่เป็นเหมือนตึกแถว แต่ตกแต่งด้านหน้าเป็นยุคกลาง

ไม่ได้บอกว่าไม่ดี อย่ามาเลยอะไรประมาณนี้นะคะ  ไม่ใช่!!!  แค่ว่าพวกเราคิดไปเองว่า ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแค่นั้นเอง

ต้องเห็นใจเมืองนี้นะคะ  เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ ก็เลยถูกถล่มเรียบกว่า 90% จากสงครามโลกครั้งที่2  และ Romerberg ที่เราเห็นอยู่นี้ ก็เป็นการสร้างขึ้นใหม่หลังสงครามนั่นเองค่ะ

Romerberg ดูเหมือนจะเป็นเมืองเก่าหลอกๆ ที่อยู่ใจกลางตึกสมัยใหม่  อดคิดไม่ได้ว่า ถ้ายุโรปไม่มีย่านเมืองเก่า ไม่มีปราสาท เรายังจะอยากมาเที่ยวมั้ย

ไม่ได้อยากทำลายอรรถรสในการเที่ยวนะคะ  นี่เป็นแค่ความคิดเห็นของคนเพียงแค่2คน คงตัดสินอะไรไม่ได้ค่ะ

note : ช่วงที่ไปคือ 11 เมษายน


 

ทำความรู้จักกับ Romerberg 

Romerberg  ถ้าแปลแยกกันก็คือ

Romer = Roman

Berg = Mountain

รวมกันเป็น “Roman Mountain”

Romerberg ถือว่าเป็นหัวใจของเมืองแฟรงค์เฟิร์ตตั้งแต่ยุค High Middle Ages หรือ High Medival Period (เป็นยุคระหว่าง ค.ศ.1001-1300)

เป็นบ้านสไตล์ half-timbered (ครึ่งไม้)

บ้านแต่ละหลัง ก็จะมีชื่อเป็นของตัวเองด้วยนะคะ  อย่างบ้านตรงหัวมุมมีชื่อว่า “Grosser Engel” ซึ่งเป็นบ้านที่เป็น “ธนาคารแห่งแรก” ของแฟรงค์เฟิร์ทด้วยค่ะ

ช่วงคริสมาสต์ ตรงลานกว้างหน้า Romerberg จะมี Chrismas Market ขนาดใหญ่ด้วยนะคะ


 

ทำความรู้จักกับ Frankfurt am Main

ที่ต้องเรียกเต็มๆว่า Frankfurt am Main ก็เพราะว่า ชื่อ Frankfurt นั้นมีอีกที่นึง อยู่แถวๆเยอรมนีตะวันออก (บนๆ ใกล้ๆเบอร์ลิน)

คำว่า am Main ก็คือ เหนือแม่น้ำไมน์  (Main)

มีประชากรประมาณ 5.5 ล้านคน แต่เป็นต่างชาติประมาณ 7.1 แสนคน คิดเป็นประมาณ 28 %

เป็นเมืองที่มีธนาคารเยอะที่สุด คนเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Bankfurt

ข้อมูลเที่ยว Frankfurt


 

วิดีโอ Romerberg @frankfurt – fail at first sight : Germany-Austria Travel Vlog Ep15 

 


รวมลิ้งค์ทุกตอน รีวิวเที่ยวยุโรป Season1


 

 

สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้

  • เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
  • GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
  • กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide

ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.