เที่ยวยุโรป SS1 D9-10 เที่ยว Munich
วันนี้พวกเราจะนั่ง Flixbus คนละ 5 ยูโรเท่านั้น ออกจาก Regensburg ไปต่อยังเมืองหลวงรัฐบาวาเรีย Munich กันแล้วค่ะ ช่างตื่นเต้นจริงๆค่ะ เคยได้ยินชื่อมานานแล้ว อยากมาเมืองนี้มาก สุดท้ายก็ได้ไปเหยียบค่ะ
การขนส่งสาธารณะในมิวนิค
Underground (U-Bahn) ใช้สัญลักษณ์ U : รถไฟใต้ดิน (บางทีก็วิ่งบนดินได้นะ) หรือเรียกว่ารถไฟระยะสั้น วิ่งในเมือง
Suburban trains (S-Bahn) ใช้สัญลักษณ์ S : รถไฟระยะไกล ปริมณฑล (ปกติวิ่งบนดิน แต่พอวิ่งเข้าเมืองก็จะลงใต้ดิน) วิ่งระหว่างเมืองต่อเมือง จอดแค่สถานีหลักๆ
สำหรับมิวนิค จะมีสถานีหลักๆ เช่น Hauptbanhof (ฝั่งตะวันตก) และ Ostbanhof (ฝั่งตะวันออก)
Bus, Tram ใช้สัญลักษณ์ H : ส่วนใหญ่ใช้ Tram นะคะ เพราะ Tram จะครอบคลุมสถานที่เที่ยวทุกที่เลย แถมตัวรถ และภายในรถก็ดูดีสวยอีกด้วย เราจะได้เห็นวิวระหว่างทาง แนะนำให้ใช้รถรางมากกว่ารถไฟใต้ดินนะคะ
ตั๋วใบเดียว ขึ้นได้ทุกคัน
ขนส่งสาธารณะทั้งหลาย ใช้ตั๋วใบเดียวกันหมดนะคะ ราคาเดียวกัน ซื้อตั๋วใบเดียวนั่งได้ทุกอย่าง(ยกเว้นแท็กซี่นะ แหะๆ) ไม่มีแบ่งแยก ว่าอันนี้ตั๋วรถไฟ อันนั้นตั๋วรถรางค่ะ และคงทราบกันอยู่แล้ว ว่าเขาไม่มีที่กั้น ไม่มีที่เสียบบัตร ใช้ระบบซื่อสัตย์อย่างเดียวเลย
จริงๆไม่มีแม้กระทั่งคนตรวจตั๋ว เพราะพวกเราไม่เคยเจอเลย อยู่มา 4 วัน ไม่เคยเจอ (แต่ใครๆก็บอกว่ามีคนตรวจนะ แต่นานน๊านที ยังไงก็ต้องซื้อตั๋ว ห้ามโกงเด็ดขาดนะ ซื่อสัตย์ เที่ยวสบายใจ และภูมิใจ ที่ไม่โกง)
หมายถึง U-Bahn , Tram , Bus นะ ส่วน S-Bahn ที่วิ่งระหว่างเมืองเจอแน่ๆค่ะ
จะซื้อตั๋วแบบไหนดี
อยากจะบอกว่าตั๋วการเดินทางในมิวนิค มันเป็นตั๋วที่จงใจออกแบบมาเพื่อ “ฝึกสมองประชาชน” หรือเปล่านะ ใครคำนวนเก่งก็ได้ถูกลง ใครขี้เกียจคำนวนก็ได้แพงไป
เพราะมันเข้าใจยากจริงๆค่ะ ก็มันมีทั้ง Single tickets , Strip tickets ซึ่งมันจะมีรายละเอียดลึกลงไปอีกนะ
แต่บอกเลย สำหรับนักท่องเที่ยว ที่จะไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากกว่า 1 ที่ ใน 1 วัน และต้องใช้รถราง/รถไฟมากกว่า 2 รอบ อย่าไปคิดอะไรมากค่ะ ซื้อ “Day tickets” อย่างเดียวโลด
Day tickets ใช้ขึ้นได้ทุกอย่าง S-Bahn , U-Bahn , Tram , Bus
ประเภทของ Day ticket
Day tickets ใช้ได้ถึง 6 โมงเช้า ของวันถัดไป
3-Day tickets ใช้ได้ถึง 6 โมงเช้า ของวันที่4
——————————————————-
กรณีเที่ยวคนเดียว
เที่ยวในเมือง (inner zone)
Single Day Ticket 6.4 ยูโร
Single 3-Day Ticket 16 ยูโร
เที่ยวไกล เช่น Dachau memorial camp , Schleissheim Castle , Starnberg
Single Day Ticket XXL area 8.6 ยูโร
เดินทางจากสนามบิน หรือจะไปสนามบินด้วย
Single Day Ticket entire area 12.4 ยูโร
——————————————————-
กรณีเที่ยว 2-5 คน (หรือผู้ใหญ่ 2 เด็ก 4 (เด็กอายุ6-14) อายุต่ำกว่า6 เข้าใจว่าขึ้นฟรี)
เที่ยวในเมือง (inner zone)
Gruppen Day Ticket 12.2 ยูโร
Gruppen 3-Day Ticket 28.2 ยูโร
เที่ยวไกล เช่น Dachau memorial camp , Schleissheim Castle , Starnberg
Gruppen Day Ticket XXL area 15.4 ยูโร
เดินทางจากสนามบิน หรือจะไปสนามบินด้วย
Gruppen Day Ticket entire area 23.2 ยูโร
Single Ticket
จริงๆ นักท่องเที่ยวก็สามาถซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว (Single Ticket) ได้นะ ไม่ได้ดูโง่แต่อย่างใด
เช่นกรณี พักโรงแรมในสถานที่เที่ยวอยู่แล้ว และจะนั่งรถแค่รอบเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 รอบ ใกล้ๆ
เที่ยวไม่เยอะ เน้นเดินเล่นชิลๆ ไม่มีแผนอะไรมาก
นี่ยังไม่หมดนะ มันยังมีปลีกย่อยอีก แต่บอกเลย อย่าคิดมากค่ะ เสียเวลา ถึงจะได้ถูกลง ก็ไม่กี่ตังค์ เลือกตามนี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้วค่ะ
ตั๋ววันตามด้านบนนี้ น่าจะครอบคลุม สำหรับคนเที่ยวเองสบายๆ
แล้วพวกเราใช้ตั๋วอะไร
สำหรับพวกเรา มากันแค่ 2 คน จึงควรเลือก ตั๋วแบบ Gruppen Day Ticket
และสถานที่เที่ยวที่จะไปกัน ก็อยู่ในเมืองทั้งหมด จึงเลือกแบบ inner zone
พวกเราค้างที่มิวนิคทั้งหมด 4 คืน แต่จะเที่ยวในมิวนิคแค่ 2 วันเต็มค่ะ
อีก 1 วัน จะไป Lindau ส่วนวันสุดท้ายตื่นมา ก็เก็บของออกจากมิวนิคแล้วค่ะ
ก็เลยไม่จำเป็นต้องซื้อแบบ 3 วัน
จึงเลือกตั๋วแบบ Gruppen Day Ticket inner zone 12.2 ยูโร / วัน สำหรับ 2 คนค่ะ
จำเป็นมาก
สิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมอีกอย่างคือ แผนที่ทางเดินรถไฟ รถราง เพราะมันไม่ได้มีให้หยิบฟรีนะคะ
ดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ค่ะ http://www.mvv-muenchen.de/en/network-stations/network-maps/index.html
มีแค่นี้ก็รับรองว่าเที่ยวมิวนิคด้วยตัวเองได้อย่างสบายๆแน่ๆ
สรุปคือ มีตั๋ว มีแผนที่รถราง รถไฟ รู้ชื่อสถานีปลายทาง ไปไหนก็ได้แล้วค่ะ
เที่ยว Nymphenburg palace
หลังจากนั่ง Flixbus มาลง ZOB (Bus Center) ของมิวนิค และไปเก็บของที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเริ่มต้นเที่ยวจริงๆแล้วนะคะ และสถานที่แรกที่จะไปก็คือ Nymphenburg palace ค่ะ
ประวัติ Nymphenburg palace
เป็นพระราชวังฤดูร้อนของผู้ปกครองรัฐบาวาเรีย
สร้างขึ้นเมื่อปี1664 โดย Ferdinand Maria, Elector of Bavaria
เนื่องจาก Ferdinand Maria แต่งงานกับ Henriette Adelaide of Savoy มาได้กว่าสิบปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกซักที
ก็เลยไปขอพรว่าถ้ามีลูกได้ จะสร้างโบสถ์ขึ้นมา ซึ่งต่อมาก็คือ Theatine church (ที่อยู่ข้างๆ Residence Munich)
คงคล้ายๆของคนไทยที่บนบานขอพรแล้วก็ไปแก้บน
หลังจากให้กำเนิดบุตรที่รอคอยมานานได้ 2 ปี ก็เริ่มสร้างพระราชวังฤดูร้อนนี้ขึ้นมา
คือปกติผู้ปกครองจะอยู่ที่เรสซิเดนซ์ มิวนิค อยู่นะคะ แต่ที่ นิมเฟนบวร์ก เป็นวังพักร้อนเท่านั้นเองค่ะ
แล้วโอรสที่ถือกำเนิดนั้นก็คือ Maximilian II Emanuel ซึ่งได้เป็นผู้ปกครองรัฐบาวาเรียองค์ต่อมา หรือที่เรียกกันว่า Elector of Bavaria
เวลาผ่านไป ผู้ปกครองผลัดเปลี่ยนกันไป ก็ค่อยๆสร้างส่วนอื่นๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ตอนแรกไม่ได้ใหญ่แบบนี้นะคะ เป็นแค่วังหลังเล็กๆเท่านั้นเอง
จนกระทั่งบาวาเรียเลื่อนขั้นเป็น Kingdom ผู้ปกครองเดิมที่มีตำแหน่งแค่ Electer of Bavaria ก็ได้เลื่อนเป็น King
และคนที่แจ๊คพอตได้เปินกษัตริย์องค์แรกของบาวาเรียก็คือ
Maximilian IV Joseph ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในฐานะ Prince Elector อยู่
พอบาวาเรียขึ้นเป็น Kingdom แล้ว Maximilian IV Joseph ก็เลยถูกเรียกเป็น King Maximilian I Joseph หรือมักเรียกสั้นๆว่า Maximilian I
ตั้งแต่นั้น ก็เริ่มสร้างส่วนต่างๆของพระราชวังนิมเฟนบวร์กมากขึ้น เพื่อให้สมกับฐานะกษัตริย์
โดยมีการออกแบบให้ทันสมัยมากขึ้น และเปลี่ยนสไตล์สวนจากสไตล์ฝรั่งเศสให้เป็นสไตล์อังกฤษด้วย
แล้วทราบมั้ยคะว่า Maximilian I ก็คือเป็นปู่ทวดของ Ludwig II ที่สร้างปราสาทนอยชวานสไตน์ นั่นไงคะ
เดี๋ยวเรียงลำดับ King of Bavaria ให้นิดนึงค่ะ
คนที่ 1 King Maximilian I Joseph (ตอนเกิดชื่อ Maximilian IV Joseph)
คนที่ 2 Ludwig I Augustus (ตอนเกิดชื่อ Ludwig)
คนที่ 3 King Maximilian II (ตอนเกิดชื่อ Maximilian Joseph)
คนที่ 4 Ludwig II (ตอนเกิดชื่อ Ludwig I) คนนี้ที่สร้างปราสาทนอยชวานสไตน์ค่ะ
เห็นมั้ยคะว่ามันน่าสับสนขนาดไหน ตั้งชื่อไม่สงสารคนรุ่นหลังเลย
เที่ยว Nymphenburg Palace เข้าชมอะไรได้บ้าง
Nymphenburg Palace : เป็นพระราชวัง ที่เปิดให้ชม 21 ห้อง
แต่ตอนไปจริงๆ ไม่เจอบางห้องนะ เช่น ห้องน้ำ และ Palace Chapel
สวยงาม อลังการ ห้องเยอะ
ไม่มีไกด์ทัวร์ เดินชมเอง เช่า audio guide ได้
ถ้าเดินผ่านๆไม่ได้อ่านอะไรมาก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ถ้าอ่านด้วย ดูรายละเอียด ทำความเข้าใจบ้าง พวกเราใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ส่วนนี้ยังไงมาถึงแล้วก็ต้องเข้านะคะ อย่าถ่ายรูปแต่ภายนอก แล้วกลับนะ
Marstallmuseum : เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บยานพาหนะ รถม้า และคอลเลคชั่นถ้วยโถโอชามต่างๆ
การตกแต่งภายในไม่ได้สวยอะไรค่ะ ดูธรรมดาๆ เหมือนตึกทั่วๆไป
แต่ที่สวย และตื่นตาตื่นใจก็คือ รถม้า รถลากต่างๆ ที่รู้สึกเหมือนซินเดอเลลล่าเลยค่ะ
โดยเฉพาะรถม้าของ King Ludwig II ที่อลังการ ติดกระจก และดูทันสมัยที่สุด
ส่วนพวกเครื่องเซรามิก จาน ชาม รูปปั้นโชว์เล็กๆน้อยๆ มันเยอะซะจนลายตาไปหมด ห้องก็เยอะมาก
รับรองเดินจนเมื่อยขาแน่ๆ แต่ก็อยากให้เข้าดูค่ะ ถ้ามีเวลา และมีบัตร 14-day ticket อยู่แล้ว
Park palaces : เป็นสวนใหญ่ๆ และวังเล็กๆ ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากๆ มี 4 ส่วน คือ
Amalienburg
Badenburg
Pagodenburg
Magdalenenklause
ทั้ง 4 ส่วนนี้ แอดมินไม่ได้เข้าค่ะ แค่เดินสวน และดูภายนอกของ Amalienburg เฉยๆ เพราะปิดแล้วค่ะ
สวนมีบริเวณที่กว้างมาก และแนะนำให้เดินค่ะ เพราะมันสวยจริงๆ
ค่าเข้า
ค่าเข้า และวันเวลาเปิดปิด ดูลิงค์นี้ได้เลยค่ะ เพราะมันแยกย่อยเยอะมากค่ะ http://www.schloss-nymphenburg.de/englisch/tourist/admiss.htm
สำหรับพวกเราใช้ 14-day ticket อยู่แล้วค่ะ 2 คน 44 ยูโร
เที่ยว Marienplatz
พวกเรายังไม่ทิ้งนิสัยโลภมากค่ะ จึงไปต่อกันที่ Old town ซึ่งเป็นหัวใจของเมืองมิวนิค จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก Marienplatz ค่ะ
Nymphenburg palace ไป Marienplatz
การเดินทางจาก Nymphenburg palace ไป Marienplatz ของพวกเราค่อนข้างจะดูวนๆนิดหน่อยค่ะ เพราะพวกเราอยากแวะนู่นแวะนี่ เดินเล่น ลัดเลาะไปเรื่อย
คือจริงๆแค่2ต่อก็ถึงแล้วค่ะ แต่ดูมันจะถึงเร็วไป ก็เลยอยากแวะโบสถ์เซนต์ลูคัส(St. Lukas) และเดินเลียบแม่น้ำอิซา(Isar river) ก่อนค่ะ
St. Lukas
St. Lukas หรือ Lukaskirche เป็นภาษาเยอรมัน
St. Luke’s Church เป็นภาษาอังกฤษ
โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ของนิกายโปรเตสแตนท์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปีก 1893 – 1896
มีชื่อเล่นว่า Dom der Münchner Protestanten หรือ Cathedral of the Munich Protestants
เรียกว่า โบสถ์ที่ไม่ใช่ที่ประทับของบิชอป
Isar river
แม่น้ำอิซา เป็นแม่น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของบาวาเรีย รองจาก Danube , Inn , Main ตามลำดับ
ถ้าใครติดตามรีวิวตั้งแต่แรกๆ ก็จะเห็นว่าพวกเราบ้าครั่งแม่น้ำมาก ชอบเดินเลียบแม่น้ำ แต่ละเมืองก็จะตั้งใกล้แม่น้ำอยู่แล้ว
บรรยากาศก็สวยงาม มีสะพานข้ามที่โด่งดัง ก็เลยอยากมาดูที่นี่ว่าจะเป็นยังไง
จุดที่พวกเราไปจะอยู่ใกล้ๆโบสถ์เซนต์ลูคัส ก็เลยมาดูพร้อมกันเลย
ส่วนเรื่องสวยมั้ย ก็ไม่ค่อยว้าว…ซักเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร สีขุ่นๆ(แต่ไม่ได้เน่านะ) ไหลแรงมาก
The Maxmonument
เดินขึ้นไปทางเหนืออีกนิดหน่อย ก็จะเจออนุสาวรีย์ King Maximilian II ซึ่งเป็นบิดาของ King Ludwig II ที่สร้างปราสาทนอยชวานสไตน์ไงคะ
ถนนตรงบริเวณนั้นจะมีสิ่งก่อสร้างในสไตล์นีโอ-โกธิค ที่ดูยุโร๊ปยุโรป ใหญ่ๆ กว้างๆ แกะสลักเยอะๆ มีร้านค้าเยอะ
แต่ถ้าจะเดินทั้งถนน คงต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันน่ะค่ะ ก็ถนนมันกว้าง ตึกก็ใหญ่ เดินไปเรื่อยๆก็ไม่รู้จักหมดซักที สวยไปหมดทุกจุด
Marienplatz
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mary’s Square หรือ St. Mary หรือ Our Lady’s Square
ถือว่าเป็นใจกลางเมืองมิวนิคมาตั้งแต่ปี 1158 แล้วนะคะ
จริงๆแล้วชื่อ Marienplatz ไม่ได้เรียกกันมาตั้งแต่ต้นนะคะ
แต่เริ่มเรียกกันมาตั้งแต่มีการสร้าง Marian Column(หรือ Mary’s Column ภาษาเยอรมันเรียก Mariensäule) ขึ้น
ตั้งแต่ปี 1638 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของ Swedish
ตอนสงครามสามสิบปี Swedish เข้ามายึดมิวนิคค่ะ
Marian column ที่เป็นอนุสาวรีย์แท่งๆ เหมือนเสา อยู่ตรงกลางลานกว้างของ Marianplatz
ลานกว้าง Marienplaz นี่แหล่ะที่เขาจะวางตลาดคริสต์มาสต์ ตั้งแต่ก่อนช่วงคริสต์มาสต์ประมาณ 3 สัปดาห์
Neues Rathaus และ Altes Rathaus
Neues Rathaus = New Town Hall
Altes Rathaus = Old Town Hall
อย่างที่บอกว่า บริเวณ Marienplatz เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองมิวนิค ดังนั้นก็ต้องมีศาลาว่าการเมืองใช่มั้ยคะ
โผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เท้ายังไม่แต่พื้น ก็จะสะดุดตามากๆกับสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โต
ทางขึ้นรถไฟใต้ดินจะอยู่หน้า Neues Rathaus แบบเป๊ะๆเลยค่ะ เป็นจุดที่แอดมินไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่ เพราะมันทำลายทัศนียภาพมากๆ จะไปโผล่ไกลออกไปอีกนิดนึงไม่ได้รึไง
โผล่มาปุ๊บก็จะเห็น Neues Rathaus ทันที สวยมากๆค่ะ แต่ทีแรกนึกว่าอันนั้นเป็น Altes Rathaus ซะอีก
แต่จริงๆแล้ว ของใหม่คืออันที่ใหญ่ สวย อลังการ ดูเก่าๆ
ส่วนของเก่าจะเป็นตึกเล็กๆ ขาวๆ ดูใหม่ๆ ค่ะ แต่สวยทั้งคู่ค่ะ สวยกันคนละแบบ คนละไซส์
Neues Rathaus สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1867 กว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็ไปเข้าไปปี 1908 นู่นแน่ะค่ะ
เชื่อมั้ยคะว่าภายในมีห้องกว่า 400 ห้องเลยทีเดียว
ส่วน Altes Rathaus สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1310 แล้วค่ะ
เจอขบวนประท้วง
พอโผล่ขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน วี๊ต…ว้ายกันหอมปากหอมคอ ก็เหลือบไปเห็น “เยอรมันมุง” อะไรกันเยอะแยะ สงสัยจะมีดารา งั้นเราไป “ไทยมุง” มั่งดีกว่า
มีตำรวจยืนเป็นจุดๆ มีเชือกกั้น อยู่ด้านหน้า Altes Rathaus คนก็รอดูอะไรกันไม่รู้
รออยู่ตั้งนานก็คิดว่าคงจะฝึกซ้อม หรือ รับเสด็จ เอ้ย…ผู้นำเสด็จ เอ้ย…จะเรียกว่าอะไรดีอ่ะ
เหมือนคนใหญ่คนโตบ้านเราจะเดินทางอ่ะ ก็ต้องปิดถนนใช่ป่าวคะ คล้ายๆแบบนั้นแหละ
พอกำลังจะออกไป ก็เห็นเสียงตะโกน มีรถตำรวจขับนำมาด้วยนะ “หรือว่าเชียร์บอล”
เดินมากันเรื่อยๆ เห็นถือป้าย(อ่านไม่ออก) ถือธงเยอรมัน ธงฝรั่งเศส ซักพักก็มีเสียงนกหวีดจากคนข้างๆนี่แหล่ะค่ะ เป่าซะขี้หูจะหลุดเลย
เฮ้ย…นี่มัน “ม๊อบนกหวีดนี่หว่า” “ประท้วงหรอ?” “อันตรายป่าวอ่ะ?” “ไปเหอะ” (แต่เท้ายังยืนอยู่กับที่ ตายังไม่ละจากตรงนั้น)
เวลาผ่านไปไม่เกิน 5 นาที ไม่มีอะไรค่ะ เขาแค่เดินขบวนตามสิทธิ เรียกร้องอะไรซักอย่าง แบบสงบ(แค่เสียงดังไปหน่อย)
เพื่อนๆคิดว่าสถานการณ์แบบนั้น เราที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ควรจะทำยังไงดีคะ เดินหนีไปที่ไกลๆ หรือ ไปร่วมมุงกับเขาดี
วันนี้มา Marianplatz ตอนกลางคืนเป็นน้ำจิ้มไปก่อนค่ะ พรุ่งนี้พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งนึงเพื่อชมแบบเต็มๆกันค่ะ
เที่ยว Munich วันที่2
วันรุ่งขึ้นนี้ พวกเราจะอยู่เที่ยวมิวนิคกันอีก 1 วันเต็มๆนะคะ
เนื่องจากเมื่อคืนพวกเรากลับห้องกันดึกมาก เช้านี้ก็เลยขอตื่นสายหน่อย แถมยังจะไปช้อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างๆอีก กว่าจะทานมื้อเช้าเสร็จ จัดการเตรียมตัว ก้าวเท้าออกจากโรงแรม ดูนาฬิกา ห๊ะ…10 โมงจะครึ่งแล้ว
อีกเรื่องที่ทำให้ออกช้าก็คือ การแต่งตัวค่ะ ไม่ใช่จะแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรหรอกค่ะ แต่ไม่รู้จะใส่กี่ชั้นดี ดูพยากรณ์อากาศ 10 – 14 องศา ร้อนกว่าวันก่อนๆ ลองใส่น้อยชั้นดูดีมั้ย ในห้องก็รู้สึกร้อนๆด้วย
ใส่เสร็จ เหงื่อแตกพลั๊ก ถอดออก ใส่เป้ พอเดินออกนอกโรงแรมเท่านั้นแหละ หนาวอ่ะ…หยิบมาใส่ต่อ ใส่ๆถอดๆอยู่อย่างนั้นแหละ
Rathaus-Glockenspiel
เป้าหมายแรกของเช้านี้ก็คือ ตุ๊กตาเต้นระบำ หรือ Glockenspiel ที่ Marienplatz ใช่ค่ะ…ที่เดียวกับที่ไปเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ
Glocken = Bell
Spiel = Set
Glockenspiel ก็คือ เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ที่มีไม้ตีเหมือนระนาด ตีลงบนเหล็ก เสียงจะดัง ติ๊งๆๆ เพราะมาก เหมือนเสียงกล่องดนตรีกล่อมให้หลับน่ะค่ะ
เสียงของ Glockenspiel จะมาจากยอดของ New town hall และจะมีตุ๊กตาหมุนไปมา เหมือนกล่องดนตรีอยู่บนนั้นด้วย
เสียงเพลงนี้ จะเล่นประมาณ 12-15 นาที ทุกวัน ตอน 11 โมงเช้า และจะเพิ่มรอบในช่วงหน้าร้อน ตอนเที่ยง และ 5 โมงเย็นด้วยค่ะ
พวกเราไปทันเกือบ 11 โมงพอดีค่ะ แต่คนยืนรอกันเต็มไปหมด แทบจะไม่มีที่ให้ยืน
การแสดงนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1908 ซึ่งแสดงเรื่องราวในยุคศตวรรษที่16
โดยตุ๊กตาจะมี 2 ชั้น
ชั้นบน เป็นเรื่องราวการแต่งงาน ของดยุกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ชั้นล่าง เป็นการเต้นรำแบบพื้นเมือง ที่ตามตำนานเล่าว่าเป็นการเต้นเพื่อปัดเป่า หรือให้กำลังใจผู้คน ในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นให้หมดไป
New town hall tower
New town hall หรือภาษาเยอรมันเรียกว่า Neues Rathaus เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1867 และใช้เวลาสร้างกว่า 40 ปี
เป็นแลนมาร์คที่ทุกคนทราบกันอยู่แล้ว แต่มีใครรู้มั้ยคะว่า เราสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วยนะ
ไม่ต้องปีนให้เหนื่อยด้วยค่ะ เพราะเขามีลิฟท์บริการ ในราคา 2.5 ยูโร แต่ขึ้นไปดูวิวได้ที่ชั้น 4 เท่านั้น
แต่พวกเราไม่พอใจกับความสูงนั้นซักเท่าไหร่ แล้วก็อยากได้วิว New town hall มากกว่า
ก็เลยมองหาที่สูงๆที่อื่นที่สามารถมองเห็นได้ทั่วกว่า
นี่ค่ะยอดนี้ท่าจะเหมาะ
St. Peter’s church
มองไปมองมาก็เจอหอคอยของโบสถ์ St. Peter’s church
แต่หาทางขึ้นไม่เจอค่ะ (จริงๆมันอยู่ด้านนอกโบสถ์) เข้าไปในโบสถ์หาอยู่ตั้งนาน จนโดนเตือนว่าห้ามถ่ายรูปขณะเริ่มพิธีทางศาสนา
ที่ไม่ทันมองเพราะกำลังอึ้งกับโครงกระดูกที่อยู่ในโลงแก้ว ซึ่งนั่นก็คือ St. Munditia ที่เสียชีวิตตั้งแต่ประมาณปี 310 นู่นแน่ะค่ะ
เรื่องประวัติแอดมินไม่เข้าใจจริงๆ แต่ตีความแบบง่ายๆประมาณว่าเป็น ชาวคริสเตียนคาทอลิค ที่สละชีวิตรับใช้ศาสนา
เห็นในวิกิใช้คำว่า her relic หรือว่าเป็นผู้หญิง?
จริงๆขอดั้งเดิมอยู่ที่อิตาลี แต่ศตวรรษที่17 ก็ย้ายมาที่มิวนิคนี้เองค่ะ
St. Peter’s church tower
ทางขึ้นดูวิวจะอยู่ด้านนอกตัวโบสถ์ค่ะ สังเกตุง่ายมากคือ จะมีของที่ระลึก โปสการ์ด ขาย
เห็นป้ายค่าขึ้นคนละ 2 ยูโร ก็นึกว่าที่เก็บเงินจะอยู่ด้านบนเหมือนที่โรเทนเบิร์ก
ก็เลยเดินขึ้นไปเฉยเลย โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีเคาร์เตอร์อยู่ข้างๆ
ที่เดียวกับที่ขายของที่ระลึก นึกว่าขายของที่ระลึกอย่างเดียวไงคะ
ขากลับลงมาเพิ่งจะเอะใจเห็น แต่ก็จ่ายนะคะ ไม่อยากโกงใคร เงินแค่ 2 ยูโรเองค่ะ
ทางขึ้นแคบๆค่ะ แต่ไม่ชันเท่าที่โรงเทนเบิร์ก แต่เรื่องสูงนี้น่าจะสูงกว่านะคะ
ขึ้นลงแบบวันเวย์ ต้องรอให้คนลง หรือขึ้นก่อน แล้วพอทางสะดวกค่อยจ้ำค่ะ
อย่าลืมเรื่องมารยาทนะคะ
1. ถ้ามีคนกำลังลง หรือขึ้นมาก่อนเรา ให้เขาไปก่อนนะ อย่าไปเบีัยดกับเขา
2. ถ้ามีคนให้ทางเรา ก็รีบเดินหน่อยนะ อย่าอ้อยอิ่งให้เขารอ และอย่าลืมขอบคุณเขาด้วยนะ
เห็นบางคนทำแบบนี้ ดูน่ารักดีค่ะ แต่พวกเด็กๆ อย่าไปถือสาเขาค่ะ
วิวเมืองมิวนิค
ขึ้นไปถึงด้านบนอย่างหืดขึ้นคอ “อ้าว…แล้วเขาเก็บเงินกันตรงไหนอ่ะ” หาแคชเชียร์ไม่เจอค่ะ
สงสัยช่วงนี้ให้ขึ้นฟรีมั๊ง…
วิวสวย 360 องศาค่ะ เห็นทุกจุดสำคัญๆในเมืองมิวนิค
Munich Residence, National theater เดี๋ยวบ่ายๆค่อยไป
Heiliggeistkirche , Viktuarienmarkt สองที่นี้อยู่ใกล้ๆกัน เดี๋ยวไปค่ะ
St. Michael’s church , Frauenkirche โบสถ์สำคัญอีกสองแห่ง เดี๋ยวก็ไปค่ะ
ดูวิวบน St. Peter’s church tower เป็นจุดที่น่าพอใจมากค่ะ อยากแนะนำจริงๆ เราจะเห็นภาพรวมของเมืองได้หมดเลยนะคะ
กับแค่ 2 ยูโรนี่มันคุ้มมากๆ ค่ากระทืบบันได ไม่น่าจะพอนะ
Viktualienmarkt
พวกเราเดินจากโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ต่อไปยังตลาดนัดกลางแจ้งที่โด่งดังที่สุดในมิวนิค
ที่บอกว่าโด่งดังเพราะ มันใหญ่ และกว้างมาก โดยเฉพาะที่นั่งกินเบียร์ (ไม่กินก็มานั่งได้มั๊ง)
เห็นในรูปก่อนมาก็จะมีคนนั่งเบียดกันกินเบียร์ใช่มั้ยคะ แต่พวกเราไปคนน้อยกว่าในรูปเยอะแต่ก็ยังถือว่าเยอะอยู่ดีนะ (ไปตอนกลางเมษายน)
Viktual = Victual = เสบียงอาหาร
Markt = Market
ดั้งเดิมเป็นตลาดของชาวนา ตั้งขึ้นตามพระบัญชาของ King Maximilian I เมื่อปี1807
จนปัจจุบันขยายเป็นตลาด ที่มีของกินเกือบทุกประเภทรวมกันอยู่ที่นี่
เปิดจันทร์-ศุกร์ 8โมงเช้า ถึง 2ทุ่ม แต่ร้านส่วนใหญ่จะเริ่มเก็บกันแล้วตั้งแต่ 6 โมงเย็น
ร้านเบียร์เปิด 9 โมงนะ
ของที่ขายก็ไม่ได้ราคาถูกหรอกค่ะ แค่ว่าบรรยากาศมันเอื้อต่อการนั่งดื่ม นั่งกิน
แต่ถ้าใครไม่ได้ห่วงเรื่องงบประมาณมาก ก็มีให้เลือกหลายอย่างจริงๆ
ถ้ามาช่วงเทศกาลคงจะน่าสนุกมากๆเลยค่ะ
แต่สำหรับแอดมินนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่แอดมินจะให้เวลาอยู่นานมากค่ะ อารมณ์เดินดูน่ะได้ค่ะ
แต่ถ้าให้นั่งกิน นั่งเล่นไม่ค่อยไหวค่ะ เหม็นบุหรี่ คนก็พลุกพล่าน ไม่ชอบอ่ะ
ร้านอาหารไม่มีที่นั่งด้วยอ่ะ มีแต่ที่เกาะกิน
Heiliggeistkirche
Heiliggeistkirche ดั้งเดิมเป็น the Hospice of the Holy Ghost เข้าใจว่าเป็นบ้านพักรับรองพระธุดงค์ตั้งแต่ศตวรรษที่14
แต่พอปี1885 ก็รื้อสร้างใหม่เป็นโบสถ์แห่งนี้
แล้วก็ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วยเหมือนกัน
เพิ่งจะมีการตกแต่งภายในใหม่ในปี 1991 นี้เองค่ะ
ประตูสู่เมืองเก่า
ประตูเมืองในสมัยก่อนมีอยู่ 4 ประตู แต่ตอนนี้เป็นตัวประตูเห็นๆอยู่แค่ 3 ที่ค่ะ
Tor = Door
Isartor ประตูทางทิศตะวันตกของ Marienplatz
Sendlingertor ประตูทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ Marienplatz และเป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดด้วยนะคะ
Karlstor ประตูทางทิศตะวันตก ของ Marienplatz ใกล้ Hbf ที่สุดค่ะ
Schwabinger Tor ประตูทางทิศเหนือ ของ Marienplatz แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วค่ะ จุดที่เคยเป็นประตู ตอนนี้กลายเป็น Field Marshal’s Hall
Asam church
Asam church หรือ St. Johann Nepomuk เป็นโบสถ์ส่วนตัว ที่อยู่ข้างบ้านของพี่น้องตระกูล Asam
พี่น้องตระกูล Asam มีฝีมือในการตกแต่งภายในโบสถ์มาก โบส์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายก็ล้วนผ่านการวาดลวดลายของตระกูลนี้ทั้งสิ้น
ตอนแรกพวกเราก็หาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน เพราะดูเผินๆก็เหมือนตึกทั่วไป ไม่ได้เป็นโบสถ์เดี่ยวๆเหมือนที่อื่นๆ
แต่เข้าไปก็สวยอลังการไม่แพ้ที่อื่นเลยค่ะ แต่เขากั้นรั้วไว้นะ เข้าไปไม่ได้ค่ะ
St. Anna Damenstiftskirche
เป็นโบสถ์สำหรับแม่ชี ตั้งแต่ศตวรรษที่18 โดย Elector Charles Albert
ภายในไม่ใหญ่ค่ะ แต่สวยมาก มีสีชมพูแทรกๆอยู่ ให้ความรู้สึกต่างจากโบสถ์อื่นมากเลยค่ะ
Citizen’s Hall (***แนะนำ)
หรือภาษาเยอรมันเรียกว่า Bürgersaal เป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่น่าจะเคยเป็นที่ประชุมอะไรซักอย่างในสมัยก่อน
แต่ต่อมาได้อุทิศให้เป็นโบสถ์ตั้งแต่ปี 1773 ใช้ชื่อว่า Bürgersaalkirche
โบสถ์นี้แนะนำว่าอย่าพลาดค่ะ เพราะชั้นบนจะเป็นโบสถ์ ใหญ่โต สวยมากจริงๆค่ะ
ส่วนด้านล่างจะเป็นพิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ให้เข้าฟรีด้วยค่ะ
St. Michael Church (***แนะนำ)
เป็นโบสถ์เก่าแก่ของนิกายเยซูอิด
สร้างโดยคำสั่งของ William V, Duke of Bavaria ตั้งแต่ปี 1583
โบสถ์นี้ภายนอกดูต่างจากโบสถ์อื่นๆ สวยไปอีกแบบ แต่ภายในไม่ได้ออกแนวสวยอลังการนะ ดูเรียบๆมากกว่า
แต่ที่น่าสนใจและอยากแนะนำก็คือ ชั้นใต้ดินจะมีพิพิธภัณฑ์ เป็นโลงศพของตระกูล Wittelsbach
ไม่แน่ใจว่าภายในมีศพจริงๆ หรือว่าเป็นโลงเปล่าๆ
ถ้าให้แอดมินเดา คงไม่มีของจริงในนั้นหรอกมั๊ง จะดูเปิดเผยกันเกินไปมั้ย
มีค่าชมคนละ 2 ยูโรนะคะ
เข้าไปเป็นห้องเล็กๆ ไม่กว้างมาก แต่ก็ไม่ได้แคบ มีโลงทั้งใหญ่และเล็กๆเหมือนของเด็ก อยู่ประมาณ 20 – 30 โลง
บรรยากาศไม่ต้องพูดถึงมั้งคะ (เงียบ เย็น สลัว) เข้าถึงโลงแบบประชิดตัว ไม่มีเชือกกั้นใดๆ
โลงเก่าๆก็จะดูเรียบๆ แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ แต่ของพระเจ้า่ลุดวิคที่2 นี่อลังการที่สุดล่ะขอบอก
โลงที่เป็นกษัตริย์ ก็จะมีมงกุฏวางไว้ด้านบนด้วยค่ะ
Frauenkirche
ภาษาเยอรมันชื่อเต็มๆเรียกว่า Dom zu Unserer Lieben Frau
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cathedral of Our Dear Lady
เป็นโบสถ์ที่สูง เก่าแก่ที่สุด(ศตวรรษที่12) และน่าจะใหญ่ที่สุดในมิวนิคเลยมั๊งคะ มองเห็นเด่นชัดได้จากที่ไกลๆเลยค่ะ
ถือว่าเป็นโบสถ์ประจำเมืองมิวนิคเลยค่ะ เรียกว่าเป็น “Münchner Dom” หรือ Munich Cathedral
หอคอยทางทิศใต้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วยนะคะ
แต่…ตอนนี้(2559) ยังปรับปรุงอยู่ค่ะ เลยไม่รู้จะแนะนำดีมั้ย แต่ใหญ่มากถ้าเปิดแล้วก็ควรเข้าชมค่ะ
Munich Residence
เราจะมาปิดท้ายวันกันที่ Munich Residence ตอน 3 โมงเย็น มีเวลาชม 3 ชม. ก่อนปิดตอน 6 โมงเย็น มาดูกันว่ามีอะไรให้ชมบ้าง
ประวัติ Munich Residence
ดั้งเดิมพื้นที่ตรงนั้นเป็นแค่คูล้อมรอบปราสาท หลังจากนั้นก็ได้สร้างเป็นวังและที่บัญชาการงานราชการ
ส่วนแรกสร้างขึ้นปี 1385 และขยายเพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ
จนต่อมาก็เป็นที่พำนักของ Duke คนแรก หรือ Elector หรือจะเรียกว่า King ก็คงได้ ตั้งแต่ปี 1806 จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายปี 1918
จากนั้นอีกสองปีต่อมา หมดยุค King ก็เลยเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้สาธารณะได้รับชม
500 กว่าปี ของพระราชวังที่ผสมผสานศิลปะหลายแบบ ที่เปลีี่ยนไปตามยุคสมัย
และแน่นอนว่า Residence แห่งนี้ ก็โดนพิษของสงครามเช่นเดียวกัน และที่เห็นนี่ก็คือที่เขาซ่อมแซมให้เหมือนเดิมค่ะ
เข้าชมอะไรได้บ้างใน Munich Residence
ต้องเข้าใจก่อนนะคะว่าคำว่า Munich Residence ก็คือทุกส่วน ที่อยู่ในเขต Residence
ซึ่งมีทั้งส่วนที่เปิดให้เข้าชม และส่วนที่เป็นสำนักงาน หรือ พิพิธภัณฑ์เฉพาะกิจ
แต่พิพิธภัณฑ์หลักๆที่เราเข้าชมได้ มี 3 ส่วนก็คือ
- Residence museum
เป็นที่หลักที่ใครมามิวนิคครั้งแรก ต้องมาให้ได้ค่ะ
จัดแสดงห้องนอน ห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องต่างๆ ที่ผู้นำเคยใช้เป็นที่พักและที่ทำงานจริงๆ
โดยรวมแล้ว ห้องไม่ได้สวยที่สุด อลังการที่สุด(แต่ก็สวยนะ) ในความเห็นส่วนตัว ที่ Nymphenburg palace สวยและน่าประทับใจกว่า
แต่ที่ Residence นี้ มีห้องเยอะมากค่ะ มีอะไรให้ชมเยอะกว่ามากๆ
ซึ่งจะมีส่วนที่รวมอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วยก็คือ Court Church of All Saints ที่เป็นโบสถ์ส่วนตัว ให้เราชะโงกไปดูได้
แต่ไม่ได้ลักษณะเหมือนโบสถ์อลังการเหมือนที่อื่นนะคะ เป็นเหมือนที่นั่งประชุมในโรงยิมมากกว่า
เพราะโดนระเบิดไปจนหลังคาเปิด แต่ที่เห็นคือได้รับการซ่อมแซมแล้วค่ะ
แต่ส่วนที่ตราตรึงใจ และไม่น่าจะลืมได้ก็คือ ห้องที่มีชื่อว่า Antiquarium หรือ Hall of Antiquities
เพราะเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่17
จริงๆที่ทำให้รู้สึกเดจาวู เหมือนเคยเห็นฉากนี้มาก่อน ก็เพราะห้องนี้เป็นฉากในหนังเรื่อง The Three Musketeers
หนังเรื่องนี้ ตระเวนไปถ่ายฉากพีคๆ ของรัฐบาวาเรียหลายที่
ที่พวกเราได้ไปมาแล้วก็คือ
Hofhaltung(Old Court) ที่ Bamberg
Obere Brücke(สะพานเก่าที่ตั้ง Altes Rathaus กลางแม่น้ำ) ที่ Bamberg
Herrenchiemsee (New palace) บนเกาะ Herreninsel (วันถัดไปพวกเราจะไปที่นี่แหล่ะค่ะ อยู่ใกล้ๆมิวนิคนี่เองค่ะ)
2. Treasury
เป็นห้องแสดงสมบัติ เครื่องประดับ มงกุฏ คริสตัล ฯลฯ
ห้องนี้ใครไม่เมื่อย ถือว่าแข็งแรงมากเลยค่ะ เพราะมันเยอะจริงๆ
ของแต่ละอย่างก็สวยมากๆ
3. Cuvilliés Theatre
เป็นโรงละครโอเปร่า แสดงดนตรี ที่สวยหรู อลังการ
แต่ไม่มโหฬาร ขนาดน่าจะประมาณโรงหนังใหญ่ๆโรงนึง
ที่เหมาะกับการถ่ายรูปค่ะ นั่งเก้าอี้ในโรงละครก็ได้ แต่ขึ้นชั้นบนๆไม่ได้
Munich Residenceเข้าดีมั้ย จะรู้เรื่องหรอ
การเข้าชมจะมี Audio guide ให้ยืมฟรีค่ะ ดีมากๆเลย แต่ละห้องจะมีหมายเลข เราก็แค่กดตามหมายเลขนั้น เสียงบรรยายก็จะออกมา (ภาษาอังกฤษ)
ฟังไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ขนาดภาษาไทยยังจะสับสนแทบแย่
แต่เราก็จะได้รู้คร่าวๆว่าห้องนี้ชื่ออะไร เอาไว้ทำอะไร เสียงบรรยายก็สำเนียงชัดเจน ฟังง่ายค่ะ
สรุปแล้ว Residence museum ควรเข้าแน่ๆค่ะ แต่ส่วน Treasury กับ Cuvilliés Theatre ก็แล้วแต่เวลาและเงินค่ะ
สำหรับพวกเราใช้ 14 day ticket ตั๋วเข้าปราสาทในรัฐบาวเรีย 2 คน 44 euro ใช้เข้าได้ทั้ง 3 ส่วน ก็เข้าให้หมดสิคะ
ทริปนี้ใช้เข้า 10 ที่ เฉลี่ยที่ละ 2 ยูโรต่อคน มันคุ้มมากๆเลยค่ะ
รอบๆ Munich Residence
Feldherrnhalle หรือ Field Marshals’ Hall
เป็น Hall เปิดอยู่ข้าง Munich Residence ด้านหน้าจะเป็น Odeonplatz
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1841 สมัย King Ludwig I เอาไว้เป็นที่ประกาศเกียรติคุณทหาร
ที่นี่ยังเป็นที่ที่ฮิตเลอร์เคยใช้เป็นโรงเบียร์ด้วย
Court Garden
เป็นสวนที่เข้าชมฟรี กว้างใหญ่ มีที่นั่งเยอะ สวย เป็นที่นั่งกินปิคนิคได้อย่างดีเลยค่คะ
Theatine church
โบสถ์ข้างๆ Field Marshals’ Hall ที่ใหญโต และสูงมากที่หนึ่งเลยค่ะ
โบสถ์แก้บนของ Ferdinand Maria, Elector of Bavaria กับ Henriette Adelaide of Savoy
เคยเล่าตอนก่อน ที่ไป Nymphenburg palace
คือท่าน2คนแต่งงานกันเป็นสิบปี แต่ไม่มีลูกซักทีก็เลยไปบนว่าถ้ามีลูกจะสร้างโบสถ์
แล้วก็ได้ลูกขึ้นมาจริงๆ ก็เลยสร้างโบสถ์แก้บนซะใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ค่ะ
แต่ตอนที่พวกเราไปเขาปิดซ่อมแซมอยู่ก็เลยชมได้ไม่มากค่ะ
จบวัน ซื้อของซุปเปอร์มาร์เก็ต กลับโรงแรม พักผ่อนค่ะ
สรุปตั๋วที่ใช้เที่ยวมิวนิค
- Flixbus จาก Regensburg มา Munich คนละ 5 ยูโร
- Gruppen Day Ticket inner zone 12.2 ยูโร ต่อ 2 คน ต่อวัน
- 14-day ticket ตั๋วเข้าปราสาท และวัง ในเขตบาวาเรีย (ไม่เสียเพราะซื้อมาก่อนนั้นแล้ว)
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ